“ห้ามกินด้วยกัน” เป็นคำที่เราน่าจะเคยได้ยินกันบ่อยๆ ใช่ไหมคะ ในส่วนของคนญี่ปุ่นนั้น อาหารที่เขาเชื่อกันว่าห้ามกินด้วยกันก็มีอยู่หลายอย่างเลยค่ะ เช่น “ปลาไหลกับบ๊วยดอง” “แตงโมกับเทมปุระ” เป็นต้น ทั้งนี้ความเชื่อเหล่านี้จริงๆ แล้วถูกต้องหรือไม่ สามารถที่จะอธิบายให้เป็นเหตุและผลตามหลักทางแพทย์ได้หรือไม่นั้นคำตอบคือได้บ้างและไม่ได้บ้างค่ะ โดยบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักและไขข้อสงสัยไปพร้อมกันว่าทำไมถึงเชื่อเช่นนั้นค่ะ
1. ปลาไหลกับบ๊วยดอง
ความเชื่อที่ว่า “ปลาไหลกับบ๊วยดองห้ามกินด้วยกัน” สามารถอธิบายได้ตามหลักทางการแพทย์ คือทั้ง 2 สิ่งยิ่งกินคู่กันยิ่งส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะในปลาไหลจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวิตามินบี ส่วนบ๊วยดองก็จะมีกรดซิตริกหรือกรดมะนาวซึ่งทั้ง 2 ตัวมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูร่างกายที่อ่อนล้า ยิ่งไปกว่านั้นการกินบ๊วยดองที่มีกรดซิตริกจะช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยให้มีมากขึ้น ทำให้เมื่อเรารับประทานปลาไหลที่มีไขมันสูงก็จะทำให้ย่อยง่ายค่ะ
ว่าแต่ทำไมถึงได้เกิดความเชื่อที่ว่าปลาไหลกับบ๊วยดองห้ามกินด้วยกันล่ะ? จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็เหมือนกับที่เราต่างเชื่อกันว่า “ถ้ากินช็อกโกแลตเยอะก็จะทำให้เลือดกำเดาไหลอออกมา” ซึ่งก็เป็นเหมือนเรื่องเล่าประจำท้องถิ่นค่ะ การห้ามกินบ๊วยดองกับปลาไหลด้วยกัน เนื่องมาจากว่าบ๊วยดองมีรสเปรี้ยวเมื่อเรากินเข้าไปก็จะทำให้เราเกิดความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น แต่ปลาไหลเป็นอาหารที่มีราคาแพง ถ้ากินเยอะก็คงจะไม่ไหว เผื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการกระเป๋าฉีก จึงเกิดความเชื่อแบบนี้ขึ้นมาค่ะ
2. แตงโมกับเทมปุระ
เป็นอาหารที่คนท้องไส้อ่อนแอแนะนำให้ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าส่วนประกอบหลักของแตงโมจะเป็นน้ำ เมื่อกินเข้าไปก็จะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเกิดการเจือจาง เมื่อกินคู่กับเทมปุระซึ่งเป็นของทอด ก็จะทำให้ย่อยได้ยากค่ะ
3. ปลาย่างกับของดอง
โปรตีนในปลา เมื่อถูกนำไปโดยความร้อนก็จะทำให้เกิดสารที่เรียกว่า “Dimethylamine” ขึ้น เมื่อสารดังกล่าวไปผสมกับสาร “Sodium Nitrite” ที่อยู่ในของดอง ก็จะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่ชื่อว่า “Nitrosoamine” ขึ้น ดังนั้นเพื่อป้องกันให้ไม่เกิดสารก่อมะเร็งดังกล่าว คนญี่ปุ่นจึงได้นิยมบีบมะนาวลงบนปลาย่าง เพื่อที่จะให้วิตามินซีที่อยู่ในมะนาวช่วยลดการเกิดสารก่อมะเร็งตัวดังกล่าวค่ะ
4. ผักโขมกับเบคอน
เป็นอาหารที่ไม่ควรกินคู่กันอีกอย่างที่ทุกคนอาจจะคิดไม่ถึงเพราะมักจะกินบ่อยๆ ทั้งนี้ที่ไม่ควรกินคู่กันก็เพราะสาร “Nitric Acid” ในผักโขมจะไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนที่อยู่ในเบคอน ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น กรด “Phosphoric Acid” ที่อยู่ในเบคอน ยังไปยับยั้งการดูดซึมของธาตุเหล็กและแคลเซียมที่อยู่ในผักโขมอีกด้วยค่ะ
การกินอาหารให้อร่อยนอกจากจะต้องคำนึงถึงราคา ความสะอาด และดูว่าอาหารชนิดนั้นปรุงถูกต้องตามหลักแล้วหรือไม่ การคำนึงถึงชนิดหรือประเภทของอาหารว่าอะไรควรกินคู่กันหรือไม่ควรกินคู่กัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เราควรให้ความใส่ใจไม่ควรมองข้ามไป เพื่อสุขภาพที่ดีของเราให้สมกับที่สมัยนี้คนญี่ปุ่นมักพูดกันว่า “สมัยแห่งอายุ 100 ปี” กันค่ะ
เรียบเรียงโดย XROSSX
ที่มา mag.japaaan.com