ความสูญเสียใหญ่หลวงของวงการ Popular Culture ทั่วโลกเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือการจากไปของอาจารย์โทริยะมะ อะกิระ (เรียงลำดับนามสกุลขึ้นก่อนแบบญี่ปุ่น) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค. ศ. 2024 ด้วยภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชนิดเฉียบพลัน ทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ Dragon Ball มากกว่าเดิม จากที่เดิมก็โด่งดังมากอยู่แล้ว
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นผู้ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับเรื่อง Dragon Ball เมื่อได้เขียนคอลัมน์ที่แล้วเรื่อง “ทำไม Dragon Ball จึงเป็นตำนาน” วันนี้จึงอยากพูดถึงวิทยายุทธในเรื่อง Dragon Ball ที่อ้างอิงจากโลกของความเป็นจริงบางส่วนดูบ้าง
ความฮ่องกง
ในช่วงแรกของเนื้อเรื่องตั้งแต่เปิดตัวเจอบุลม่าไปจนกระทั่งช่วงที่ไปช่วยราชาปีศาจวัวดับไฟ วิทยายุทธในเรื่องยังค่อนข้างมั่ว ๆ แนวมวยวัด แต่เมื่อผู้เฒ่าเต่าได้ปล่อยพลังคลื่นเต่าให้ประจักษ์เป็นครั้งแรก เป็นการเริ่มเนื้อเรื่องด้านศิลปะการต่อสู้แนววิทยายุทธอย่างเป็นรูปธรรมของเรื่องนี้
ตามที่ทราบกันว่าญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลของจีนโบราณ (จีนโบราณ คือไม่ใช่จีนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบัน แต่เป็นจีนโบราณเช่น แคว้นอู๋ หรือราชวงศ์ฮั่น เป็นต้น) ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นจึงมีลักษณะผสมระหว่างญี่ปุ่นและจีนโบราณ ประกอบกับช่วงทศวรรษที่ 70s ถึงต้นทศวรรษ 90s จัดเป็นยุคทองของซีรีส์และภาพยนตร์ฮ่องกง เรื่อง Dragon Ball จึงมีฉากต่อสู้ที่อ้างอิงฮ่องกงอย่างมาก
ยุค 70s นั้นหนังฮ่องกงจะเน้นสมจริง ไม่ค่อยมีฉากเหาะหรือปล่อยแสง แต่พอมายุค 80s-90s เมื่อเทคโนโลยีการถ่ายทำพัฒนาไปมาก และเข้าสู่ยุคทองของการส่งออกหนังฮ่องกง ทำให้เกิด Special Effect การเหาะเหินเดินอากาศ การปล่อยพลังลมปราณออกมาเป็นแสงสีให้เห็นจริง ๆ ดังนั้น ในเรื่อง Dragon Ball จึงมีการใช้แนวคิดเดียวกันในการปล่อยพลังคลื่นเต่า คือ Visualize พลังลมปราณให้เห็นเป็นแสงสีจริง ๆ ตามแบบฉบับฮ่องกงเปี๊ยบ
จากนั้นเมื่อมีโกคู และ คุริลิน เริ่มฝึกวิชากับผู้เฒ่าเต่า ก็มีฉากฝึกวิชาด้วยกิจกรรมสุดโหดหลายอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น เอาของหนักถ่วงร่างกายไว้ตลอดทั้งวัน ช่วยชาวบ้านส่งนม ทำไร่ด้วยมือ อะไรที่มีลักษณะคล้ายหลวงจีนฝึกวิชาที่วัดเส้าหลิน ซึ่งเป็นแบบฉบับหนังฮ่องกงยุคนั้นอีกเช่นกัน
แม้กระทั่งการประลองระหว่างโกคู และ แจ็กกี้ ชุน (ผู้เฒ่าเต่าปลอมตัวมา) ชื่อว่าแจ็กกี้ ชุน (Jackie Chun) ก็ล้อเลียนชื่อภาษาอังกฤษของเฉินหลงว่าแจ็กกี้ ชาน (Jackie Chan) และบุคลิกนักสู้ผู้มีฝีมือสูงส่งแต่ว่าติดตลกโปกฮา ก็ถอดแบบมาจากบุคลิกของเฉินหลงในยุคนั้น ฉากการประลองยุทธหนึ่งในใต้หล้าก็ได้รับอิทธิพลจากหนังกำลังภายในฮ่องกง ทั้งชื่อการประลองว่า “หนึ่งในใต้หล้า” ก็ด้วย อีกทั้งท่วงท่าในการต่อสู้รวมทั้งวิทยายุทธเช่น “หมัดเมา” ของ แจ็กกี้ ชุนก็ได้อิทธิพลจากหนังเรื่อง “ไอ้หนุ่มหมัดเมา” ที่ Jackie Chan แสดงจริง ๆ รวมทั้งฉากสุดท้ายที่โกคูและแจ็กกี้ ชุนกระโดดลอยตัวเตะสวนกันที่เรียกว่าท่า Flying Kick ก็เป็นท่ากระโดดเตะที่เป็นจุดขายของ Bruce Lee ที่โด่งดังมาก ๆ ในยุคนั้น
หลังจากนั้นในการประลองหนึ่งในใต้หล้าก็จะมีตัวละครหลายตัวที่ใช้วิทยายุทธเอเชีย และปล่อยพลังลมปราณออกมาเป็นแสงสีให้เห็น เช่น คุริลิน หยำฉา เทนชินฮัง และเจาซือ เป็นต้น
การสะกดวิญญาณปีศาจ
พล็อตการสะกดวิญญาณปีศาจแล้วนำไปขังไว้ในภาชนะอะไรสักอย่าง เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วโลกทั้งเอเชียและตะวันตก วิชาคลื่นผนึกมาร (หรือ มะฟูบะ: 魔封波) ก็เป็นการอ้างอิงถึงวิชาสะกดวิญญาณในโลกแห่งความจริง โดยจากนิสัยของอาจารย์โทริยะมะที่ลักษณะขี้เล่น ตลกไม่สุด เครียดก็ไม่สุด จึงให้สะกดวิญญาณแล้วเอาจอมปีศาจพิคโกโล่ไปขังใน “หม้อหุงข้าวไฟฟ้า” แทนที่จะเป็นหม้อดินที่ดูขลังกว่า พลังสะกดวิญญาณนี้จะมีบทบาทเด่นอีกครั้งในภาค Super อีกด้วย
และนอกจากการสะกดวิญญาณ ยังมีการกล่าวถึงแนวคิดของลัทธิเต๋า คือกล่าวถึงความดี-ความชั่วของพระเจ้าและจอมปีศาจพิคโกโล่ว่าที่จริงแล้วเคยเป็นตัวตนเดียวกันมาก่อน ก็เป็นการสะท้อนแนวคิดหยินหยาง (陰陽) ของลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นฐานคิดของศิลปะป้องกันตัวอีกหลายสำนักในญี่ปุ่น
วิทยาศาสตร์การกีฬาแบบตะวันตก
หลังจากเริ่มพลิกโผไปสู่พล็อตมนุษย์ต่างดาวและจักรวาล โดยอ้างอิงจากเรื่อง Superman ภาค 2 (ปี 1980) ที่เป็นพล็อตเฉลยว่าซงโกคูที่จริงเป็นมนุษย์ต่างดาวหนีมาโลกตอนที่ดาวตัวเองระเบิด และต้องไปสู้กับเผ่าพันธุ์เดียวกับตัวเองอีก 3 คนคือ ราดิทช์ นัปปะ และ เบจิต้า ก็มีการพัฒนาศิลปะการต่อสู้ไปสู่แนวตะวันตกมากขึ้น
โดยมีการเริ่มใช้ตัวเลขบอกพลังความแข็งแกร่งของวิทยายุทธ แนวเดียวกับที่ตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกาที่ต้องการวัดผลทุกอย่างได้ด้วยตัวเลข จึงให้มีเครื่องวัดพลังออกมาเป็นสเกลตัวเลขได้ชัดเจน
จากนั้นมีการใช้วิทยาศาสตร์สร้างห้องแรงโน้มถ่วงทั้งบนยานที่โกคูเดินทางไปดาวนาเม็ก และสร้างขึ้นที่บ้านของบุลม่าในตอนหลัง ก็เป็นแนวคิดของวิทยาศาสตร์การกีฬาแบบตะวันตก ที่ใช้วิทยาศาสตร์มาวัดผลด้วยตัวเลข และใช้วิทยาศาสตร์มาพัฒนาร่างกายของนักกีฬาทั้งมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูก โดยใน Dragon Ball ใช้แนวคิดเดียวกันในการฝึกฝีมือของเหล่านักสู้ในเรื่อง
แม้แต่บนดาวนาเม็ก กีนิวซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยรบกีนิวยังเข้าใจผิด ว่าซงโกคูเก่งกาจเพราะ “ร่างกาย” ซึ่งเป็นแนวคิดแบบตะวันตกมาก ว่ามนุษย์เราแข็งแกร่งในการต่อสู้เพราะมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูกเป็นหลัก แต่เมื่อกีนิวใช้วิชาสลับร่างกับโกคูแล้วก็พบว่าไม่สามารถใช้ร่างกายของโกคูต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ก่อนโกคูจะเฉลยว่า เคล็ดลับความแข็งแกร่งของวิทยายุทธคือการประสานกายและจิตเป็นหนึ่ง ไม่ใช่แค่ร่างกายเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นการกลับไปสู่แนวคิดวิทยายุทธของเอเชียอีกครั้งที่ต้องประสานกายและจิต ในขณะที่วิชาของกีนิวมีความคล้ายกับหลักกีฬาตะวันตกคือเน้นกำลังภายนอกจากมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูกเท่านั้น
การฝึกจิตของ “ร่างซูเปอร์ไซย่า” และ “ร่างอัตนิยม (Ultra Instinct)”
เมื่อโกคูกลายเป็นซูเปอร์ไซย่าครั้งแรกนั้น เกิดจาก 2 ปัจจัยประกอบกัน คือต้องมีวิทยายุทธสูงพอจะเข้าถึงสภาวะของซูเปอร์ไซย่า และ ต้องมีอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่พลุ่งพล่านถึงขีดสุด (โกคูโมโหถึงขีดสุดที่คุริลินโดนฟรีเซอร์ฆ่าตาย ส่วนเบจิต้าน่าจะโกรธถึงขีดสุดที่ฝึกวิชาเท่าไรก็ไม่เก่งเท่าโกคู ประกอบกับได้เห็นทรังคซ์จากอนาคตที่ตัวเองไม่รู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเอง ดันกลายร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าได้ด้วย)
แสดงว่า การกลายเป็นซูเปอร์ไซย่า ต้องใช้ปัจจัยทางอารมณ์หรือการฝึกจิตเข้าช่วย นอกเหนือไปกว่าการฝึกร่างกายให้เข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ เมื่อตอนฝึกวิชาในห้องกาลเวลาเพื่อรับมือเซล โกคูจึงต้องฝึกโดยการคงสภาพร่างซูเปอร์ไซย่าไว้ในการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เพื่อให้ทั้งกายและจิตทำความคุ้นเคยกับ “ภาระหนัก” ที่เกิดขึ้นในขณะแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่า ซึ่งเป็นแนวคิดการฝึกร่างกายแบบตะวันออกที่เน้นฝึกให้ร่างกายและจิตใจรับโหลดหนัก ๆ อยู่เป็นประจำจนเกิดเป็นความเคยชิน เมื่อลงแข่งหรือออกศึกใหญ่จะทำให้กายและจิตรับโหลดได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
แม้แต่ในภาค Super ตอนใกล้จะจบ ก็เผยร่างใหม่คือ “ร่างอัตนิยม (Ultra Instinct)” ซึ่งได้มีคำอธิบายไว้ว่า เป็นร่างที่เข้าสู่สภาวะผ่อนคลายสูงสุดทั้งกายและจิต สามารถขจัดการเคลื่อนไหวที่เปล่าประโยชน์ (หรือ มุดะ: 無駄) ไปได้หมดสิ้น จะทำให้มีวิทยายุทธสูงสุดในระดับ Ultra Instinct ก็เป็นแนวคิดที่โลกแห่งความจริงกล่าวถึงกันหมดทุกวิชาในวิทยายุทธเอเชีย ทั้งมวยเส้าหลิน, มวยไท้เก๊ก, คาราเต้, ไอกิโด, เคนโด, อิไอโด, เทควอนโด, ทังซุโด คือต้องสามารถลดมุดะให้ได้ทั้งในระดับกายและใจ เมื่อกายและใจขจัดสิ่งที่เปล่าประโยชน์ออกไปได้หมด จะทำให้วิทยายุทธสูงส่งขึ้นอีกมาก ก็เป็นแนวคิดที่มีอยู่จริงในวิทยายุทธของโลกแห่งความจริง
สรุป
อาจารย์โทริยะมะ อะกิระ เป็นอัจฉริยะแห่งการ “แถ” ใช้ทุกวิธีเพื่อดึงคนอ่านให้เสพติดเนื้อเรื่อง และคอลัมน์นี้ก็ได้อธิบายให้เห็นเทคนิคที่อาจารย์ประยุกต์วิทยายุทธจากโลกแห่งความจริงเข้าไปใช้ในเนื้อเรื่องของ Dragon Ball แม้ผู้อ่านจะตระหนักดีว่าในชีวิตจริงเราเหาะเหินเดินอากาศหรือปล่อยแสงไม่ได้ แต่ก็สร้างความสมเหตุสมผลบางอย่างในเนื้อเรื่อง เช่นเดียวกับที่ผู้ชมหนังกำลังภายในก็ยังสนุกกับมันได้แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าชีวิตจริงนั้นคนเราเหาะและปล่อยกำลังภายในออกมาเป็นแสงแบบนั้นไม่ได้ เช่นกัน
สุดท้ายนี้ ขอลงผลงานเขียนทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่อง Dragon Ball ที่ผู้เขียนทำมาตลอดชีวิตจนกระทั่งปัจจุบันที่เขียนคอลัมน์นี้ โดยมีทั้งงานวิชาการ และงานเขียนบทความออนไลน์ดังนี้
1) วิทยานิพนธ์
2) บทความวิชาการเปรียบเทียบ Doraemon VS Dragon Ball
“Examining Dragon Ball and Doraemon: A Winning and Losing Case of Intercultural
Media in the U.S.“
3) บทความออนไลน์ใน THE PEOPLE
- “ซง โกคู (Son Gokū) แห่ง Dragon Ball เจ้าตำรับ “ไซอิ๋วผสมซูเปอร์แมน”“
- ““หยำฉา” แห่ง Dragon Ball โดนกระทืบ โดนแย่งแฟน ตัวละครขี้แพ้ที่คนรัก“
- “จีจี้และบุลม่า ตำนานศรีภรรยาแห่งดรากอนบอล-เมียเผด็จการ VS เมียประชาธิปไตย“
- “พิคโกโล่: จากเด็กกำพร้าสุดชั่ว สู่การเป็นตัวละครมนุษย์พ่อในดรากอนบอล“
- “เบจิต้า: ความรักของนักรบชาวไซย่า นักล่าผู้เหี้ยมโหดที่กลายเป็นพ่อบ้านแสนดี“
- “ผู้เฒ่าเต่า แห่ง Dragon Ball กะเทาะเปลือกความหื่นลามก คือเนื้อแท้อาจารย์ผู้ทุ่มเท“
- “คุริลิน: ความรักของผู้ชายโชคดี กับ จูฮะจิโกซัง (คุณหมายเลข 18) ของผม“
- “ฟรีเซอร์: ทั้งจักรวาลเขาคือตัวร้าย แต่สำหรับพนักงานในองค์กร เขาคือสุดยอดบอส“
- “มิสเตอร์ซาตานและบู: พ่อรวยสอนลูก จอมมารที่มีที่มาจากหนังดิสนีย์ ‘ซินเดอเรลล่า’“
- “ซง โกฮัง: ไม่เดินตามรอยพ่อ ผู้ภูมิใจในเป็นชาวโลกและไม่เคยมีร่างซูเปอร์ไซย่า 3“
- “เซลล์: สิ่งมีชีวิตผิดธรรมชาติในจักรวาล Dragon Ball ผู้ไร้เป้าหมายในชีวิต“
- “ทรังคซ์ – จอห์น คอนเนอร์ แห่ง Dragon Ball ผู้ทำให้เบจิต้ากลายเป็นมนุษย์พ่อ“
- “เท็นชินฮัง-เจาซือ: ความรักดุจพี่น้องของคนตรงใน ‘ดราก้อน บอล’ ที่โชคร้ายได้ครูไม่ดี“
- “มองแนวคิดเต๋า, ชินโต, และคริสต์ใน Dragon Ball ผ่านตัวละคร จอมปีศาจพิคโกโล่ และ พระเจ้า“
- “บุลม่า: แม่ 3 แบบผู้เป็นทุกอย่างให้บุรุษ 3 คนใน Dragon Ball“
- “9 เรื่องราวชีวิต – ความคิด ของ ‘โทริยะมะ อะกิระ’ ที่สะท้อนผ่าน ‘ Dragon Ball’“
- “คุยกับ วีรยุทธ พจน์เสถียรกุล คนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่อง Dragon Ball” (บทสัมภาษณ์)
4) บทความออนไลน์ใน marumura
- “ทางสองแพร่ง (Dilemma) ระหว่าง พันธุกรรม VS ความพยายาม ในมังงะและอนิเมของญี่ปุ่น“
- “การตั้งคำถามกับ “ครอบครัวร่วมสายเลือด” และ “ครอบครัวต่างสายเลือด” ในการ์ตูนญี่ปุ่น“
เกี่ยวกับผู้เขียน
วีรยุทธ พจน์เสถียรกุล เป็นคนไทยเพียงไม่กี่คนที่เคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นมาแล้วถึง 4 แห่ง โดยเคยได้รับทุนแลกเปลี่ยนระหว่างที่ว่าการจังหวัด Okinawa และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปศึกษาที่ The University of the Ryukyus รวมทั้งเคยได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นแบบสอบผ่านสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ไปศึกษาที่ 1) Tokyo University of Foreign Studies / 2) International Christian University / และ 3) Keio University มีประสบการณ์ทำงานที่หลากหลาย เคยเป็นผู้สื่อข่าวและผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ให้บริษัท Nippon Production Service (บริษัทในเครือสถานีโทรทัศน์ NHK) / เป็นผู้สอนภาษาไทยที่สถาบันภาษาไทยหลายแห่งในโตเกียว / เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติที่สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) / เป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจและการตลาดให้บริษัท Corporate Directions Inc. ของประเทศญี่ปุ่น / เป็นผู้ก่อตั้งสาขาภาษาญี่ปุ่นธุรกิจของคณะศิลปศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ / เป็นผู้อำนวยการบริษัท AIRA Capital และเป็นทีมงานก่อตั้งบริษัท AIRA and AIFUL รวมทั้งบัตรกดเงินสด A-Money / เป็นที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ของบริษัท TOYO Business Service / เป็นที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ของบริษัท JECC ประเทศญี่ปุ่น / เป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจของบริษัท Business Consultants South East Asia / มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัยมากกว่า 10 แห่งในประเทศไทย / เป็นที่ปรึกษาและจัดฝึกอบรมให้องค์กรหลายแห่ง
ปัจจุบันมีธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเองคือ บริษัท Consulting Agency for Talent จำกัด ทำธุรกิจให้คำปรึกษาด้านพัฒนาองค์กรและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HROD และ HRD) / เป็นนักวิชาการอิสระ / วิทยากรอิสระ / นอกจากเขียนคอลัมน์ที่ Conomi แห่งนี้แล้ว ก็เขียนคอลัมน์ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ / เขียนคอลัมน์ให้ The PEOPLE Online Magazine / เขียนคอลัมน์ให้ Marumura และยังคงใฝ่เรียนรู้สิ่งใหม่ต่าง ๆ อยู่เสมอแม้ว่าจะมีปริญญา 7 ใบแล้วก็ตาม
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่
Facebook : รวมผลงานของวีรยุทธ – Weerayuth’s Ideas