ความเชื่อโอกินาว่า

โอกินาว่า จังหวัดใต้สุดของญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันเฉพาะตัว ใครเคยไปเที่ยวจะเห็นเลยว่าชาวบ้านค่อนข้างมีความเป็นอยู่ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ จึงเป็นที่มาให้เกิดเรื่องราวแปลก ๆ มหัศจรรย์ เล่าขานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มากมาย และครั้งนี้เรามีอันดับเรื่องราวกอสซิปความน่าพิศวงที่ได้ยินได้ฟังต่อ ๆ กันมา มาบอกต่อค่ะ…เผื่อการเที่ยวในครั้งหน้าของคุณจะสนุกเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว!

อันดับ 1 : สมบัติต้องคำสาป! สมบัติสองแสนล้านเยนหลับใหลอยู่บนเกาะโอกามิ?

สมบัติ

เกาะโอกามิ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือของเกาะมิยาโกะ มีตำนานเล่าขานกันมาว่ามีสมบัติมหาศาลที่นอนหลับใหลอยู่บนเกาะแห่งนี้ ที่ผ่านมา เกาะโอกามิถูกกล่าวขวัญว่าเป็น “เกาะที่มีเทพเจ้าแห่งธรรมชาติ” ซึ่งมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย รวมถึงมีสถานที่ที่ไม่ควรเยื้องย่างกรายเข้าไปอยู่หลายแห่งเช่นกัน อีกทั้งเกาะแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาเมื่อมีบทความในหนังสือพิมพ์ลงเรื่องราวว่า

” สมบัติมูลค่ามหาศาลของกัปตันคิดด์ (วิลเลี่ยม คิดด์) หลับใหลอยู่ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์บนเกาะแห่งนี้ !? “

โดย Okinawa Times ฉบับวันที่ 30 มิถุนายน 1966 ได้ลงบทความเรื่อง ‘ตำนานสังหารชาวเกาะ กับเกาะมหาสมบัติของโจรสลัด? ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่ซ่อนสมบัติบนเกาะโอกามิ ในตอนนั้นนักล่าสมบัติได้หลั่งไหลกันเข้าไปที่เกาะ เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันมาว่ามีสมบัติถูกซ่อนไว้ที่ภูเขาโกะเสะบนเกาะโอกามิ ผู้คนจำนวนมากต่างมุ่งหน้าเข้ามาที่เกาะโอกามิ รวมถึงสถานที่ที่ห้ามเข้าด้วย เพื่อค้นหาสมบัติ แต่กลับไม่เจอสมบัติอะไรเลย แถมยังพากันเจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ และล้มตายลง ซึ่งผู้คนได้เล่าขานกันว่านั่นน่ะอาจจะเป็นคำสาปก็ได้…

★เรื่องเล่าขานของเกาะโอกามิ
เมื่อก่อนมีโจรสลัดเข้ามาที่เกาะแห่งนี้ ชาวเกาะถูกฆ่าตายเกือบหมด เหลือรอดชีวิตแค่เด็กชาย-หญิงที่หลบซ่อนตัวอยู่เท่านั้น และเด็กๆ เหล่านั้นก็คือบรรพบุรุษของชาวเกาะในปัจจุบันนี้

อันดับ 2 : ประตูสู่โลกต่างมิติ!? สำนักหมอผี

ที่โอกินาว่ามีความเชื่อในเรื่องหมอดู หมอผีที่เรียกว่า “YUTA” โดยยูตะจะถูกกล่าวว่าเป็นหมอผีที่เชื่อมต่อกับเทพเจ้า และอยู่ในฐานะผู้ขับไล่วิญญาณสิ่งชั่วร้าย คอยให้คำแนะนำแก่ผู้คน ในภาษาท้องถิ่นจะเรียกว่า “คามินจู”

แต่การจะเป็นยูตะได้จำเป็นต้องได้รับการเลือกจากเทพเจ้าซะก่อน กล่าวกันว่าผู้ได้รับเลือกจะต้องผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดทรมานเป็นพิเศษ เช่น การตายของคนสำคัญอย่าง พ่อแม่หรือคู่สมรส โดยจะมีไข้ขึ้นสูง ไม่ไหวติงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ สุดท้ายจะได้ยินเสียงในใจบอกว่า “ในเวลา….จงไปที่…. “สำนักของยูตะ”

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ สำนักหมอผีที่ตั้งอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ในป่าจะมีป้ายเขียนระบุไว้ว่า “จากจุดนี้ไม่รับประกันความปลอดภัยของชีวิตจากวิญญาณร้าย” และมีคำบอกเล่ากันมาว่า ถ้าเข้าไปแล้วครั้งหนึ่งอาจจะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย หากเข้าไปโดยไม่รู้ความลับของถ้ำ ชีวิตก็จะตกลงไปในหลุมพราง

บริเวณมรดกโลก “เซฟาอุตาคิ” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น ก็เป็นที่ที่มักจะมีเหล่ายูตะมาอธิษฐานกันโดยไม่จำกัดด้วยว่าจะมาจากสำนักใด ทั้งนี้สำนักของยูตะหรือหมอผีผู้มีญาณพิเศษบางแห่งก็อันตรายมากเกินกว่าคนธรรมดาจะเยื้องกรายเข้าไป ดังนั้นจงอยากรู้อยากเห็นในระยะห่าง ๆ ไว้จะเป็นดีที่สุด

อันดับ 3 : ซากร้านอาหาร เกาะฮีตู

เกาะฮีตู เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่เหนือท้องทะเลของหมู่บ้านอนนะซนที่โด่งดังว่าเป็นดินแดนแห่งรีสอร์ท และในร้านอาหารแห่งหนึ่งบนเกาะที่กลายเป็นซากปรักหักพังแห่งนี้มี Hokora หรือศาลเพียงตาด้วย และมักจะเกิดเรื่องราวไม่ดีกับผู้ที่บุกรุกเข้ามา

ทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นซากปรักหักพัง? เรื่องเล่ามีอยู่ว่าเมื่อปี 1970 เจ้าของเกาะร้างวางแผนที่จะมาเปิดร้านอาหารที่มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำด้วยที่นี่ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างผืนแผ่นดินกับเกาะ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโครงการนี้ถึงยุติไปหลังจากที่สร้างร้านเสร็จแล้ว

นอกจากนี้ ชื่อเกาะ ‘ฮีตู’ ในภาษาโอกินาว่าหมายถึง “โลมา” ซึ่งในอดีตมักมีการล่าโลมาในบริเวณแห่งนี้ และมีเรื่องเล่าขานกันว่าเพราะคำสาปของโลมา จึงทำให้ผู้คนหรืออะไรก็ตามที่เข้ามาที่เกาะแห่งนี้พบเจอแต่โชคร้ายและมีชีวิตอยู่โดยไร้ความสุข แต่ในปัจจุบันนี้บางพื้นที่ยังคงมีธรรมเนียมการกินโลมาอยู่ อีกทั้งท้องทะเลบริเวณเกาะฮีตูมีแมงกะพรุนซึ่งมีพิษร้ายแรงอยู่เป็นจำนวนมาก  ดังนั้นลำพังแค่การข้ามมาที่เกาะจึงอันตรายอย่างยิ่งอยู่แล้ว

อันดับ 4 : มาจิมุน ผีแห่งโอกินาว่า

‘มาจิมุน’ (マジムン) ในภาษาโอกินาว่าหมายถึง “ผี/สิ่งชั่วร้าย (ตรงกับคำว่า 魔物 ในภาษาญี่ปุ่น)” ซึ่งจะปรากฏตัวในนิทานพื้นบ้านของโอกินาว่าอยู่บ่อย ๆ แม้จะมีความน่ากลัว แต่โดยทั่วไปแล้วชาวท้องที่เองก็มีความคุ้นเคยกับการมีอยู่ของมาจิมุนเป็นอย่างดี

ในบรรดาผีที่รู้จักกันดีก็คือ คิจิมุนา เป็นผีจอมซุกซนคล้ายเด็กที่อาศัยอยู่ในต้นไทร โดยส่วนใหญ่ภาพวาดคิจิมุนาจะมีลักษณะเหมือนมนุษย์เด็ก มีผมสีแดง ผิวสีแดง มีแขนยื่นออกมาเหมือนกิ่งก้านของต้นไม้ อีกทั้งคิจิมุนายังมีเพศมีอายุด้วย จึงไม่แปลกใจที่ที่นี่จะมียันต์กันผีเช่นเดียวกันกับคนไทย

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อกันว่า ผีที่ออกมาล่องลอยอยู่ในชุมชนจะมุ่งหน้าเข้าไปในบ้านที่อยู่ตรงทางสามแพร่งหรือแยกถนนที่เป็นตัว T ดังนั้นจึงต้องเอาแผ่นหินยันต์กันผีไปติดไว้ตรงทางสามแพร่ง เพื่อไม่ให้ผีเข้ามาบุกรุก และผีก็ถูกพลังจากยันต์หินนั้นจนสลายตัวไป

อันดับ 5 : การทำขวัญเรียกจิตวิญญาณ

โอกินาว่าก็มีเรื่องเล่าถึงการทำขวัญเรียกจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นการทำขวัญเรียกจิตวิญญาณเพื่อให้เกิดความสบายใจเช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมอื่น ๆ

โดยคนท้องที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาว่า ในเวลาที่ไม่ให้ความสำคัญกับบรรพบุรุษ เด็ก ๆ ทำเรื่องไม่ดี มีอาการเจ็บป่วยบาดเจ็บร้ายแรง หรือตอนที่ตกใจ จะมีการทำขวัญเรียกจิตวิญญาณ เพราะเชื่อกันว่าเมื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น วิญญาณของผู้มีเคราะห์จะหลุดออกจากร่างเป็นเวลาชั่วครู่ ซึ่งเป็นโอกาสให้วิญญาณที่ไม่ดีเข้ามาสวมรอยในร่างแทนได้

ดังนั้น บรรดาคนเฒ่าคนแก่จึงมีความเชื่อให้ทำขวัญเรียกจิตวิญญาณกันในตอนที่โชคร้าย สภาพร่างกายอ่อนแอ หรือจิตใจไม่สงบ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพิธีที่เรียกว่า “MABUIGUMI” (มาบุอิกุมิ) ที่ยูตะจะทำพิธีเรียกจิตวิญญาณกลับมาให้

อันดับ 6 : ตำนานนางเงือกแห่งเกาะอิชิงากิ

ตำนานนางเงือกที่เล่าขานกันในเกาะอิชิงากิเป็นตำนานจากเหตุการณ์จริงที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหญ่ในช่วงสมัยเมวะ ปีค.ศ. 1771 แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ในเขตอำเภอ แต่ก็นับได้ว่าเป็นการช่วยเหลือผู้คนจำนวนมาก โดยนางเงือกที่ถูกมนุษย์จับได้นั้นได้บอกแก่ชาวบ้านว่าคลื่นยักษ์สึนามิกำลังซัดเข้ามา

สำหรับคลื่นยักษ์สึนามิแห่งเมวะที่เกิดขึ้นจริงนั้น เป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 เมษายน ปีเมวะที่ 8 (ค.ศ.1771) โดยคลื่นยักษ์สึนามินั้นเกิดจากแผ่นดินไหวในหมู่เกาะยาเอะยาม่า นอกชายฝั่งทางทิศใต้เกาะอิชิงากิ คลื่นมีความสูงมากกว่า 30 เมตรในช่วงแรก และมีความสูงถึง 80 เมตรเมื่อมาถึงเกาะอิชิงากิ

ตำนานนางเงือก ISHIGAKISHIMA HOSHINO

อันดับ 7 : อาณาจักรโบราณที่สาบสูญ!? ซากปรักหักพังใต้ท้องทะเลของเกาะโยนากุนิ

หรือนี่จะคือ “อาณาจักรมู” ที่สาบสูญ!? ซากปรักหักพังใต้ท้องทะเลของเกาะโยนากุนิที่อยู่ทางตะวันตกสุดของญี่ปุ่นเป็นซากปรักหักพังลึกลับที่ยังไม่ได้รับการอธิบายไขกระจ่างให้ชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่าสร้างขึ้นเมื่อไรและใครเป็นผู้สร้าง ทำให้มีเสียงร่ำลือกันว่าคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมู อีกอาณาจักรโบราณที่สาบสูญ

เมื่อปี 1986 ขณะที่ อาราตาเกะ คิฮาจิโร่ นักดำน้ำท้องถิ่นกำลังเสาะหาจุดดำน้ำแห่งใหม่ แต่เขากลับค้นพบลักษณะภูมิประเทศเหมือนซากปรักหักพังที่ใต้ท้องทะเลลึกของแหลมอาราคาว่าบานะที่อยู่ทางใต้ของเกาะโยนากุนิ ซึ่งคล้ายคลึงกับคำอธิบายเกี่ยวกับอาณาจักรมู (Mu) จากหนังสือของ พ.อ.เจมส์ เซอร์ชวาร์ด ที่ได้เขียนอธิบายไว้ว่าเป็นอาณาจักรที่จมหายไปในทะเลแปซิฟิกเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน

นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่ว่าเกาะอีสเตอร์และหมู่เกาะของโพลีนีเซียเป็นเศษเสี้ยวของอาณาจักรมูที่รอดจากความพินาศไปได้ แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด และไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าเป็นอาณาจักรใหญ่จมอยู่ใต้ทะเล ดังนั้นจึงเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันมา ปัจจุบันบริเวณซากปรักหักพังเป็นที่อยู่อาศัยของฉลามหัวค้อนที่ยังคงกุมปริศนามากมายอยู่

อันดับ 8 : ใคร ๆ ก็ห้ามพูดถึง เทศกาลลึกลับบนเกาะอารากุสุคุ

เกาะอารากุสุคุ มีชื่อเสียงว่าเป็นจุดดำน้ำตื้นของเกาอิชิงากิ แม้จะเป็นเกาะที่มีผู้คนแวะเวียนมาเที่ยวชมกันมากมาย แต่ปัจจุบันนี้เป็นเกาะร้างที่แทบจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่

แม้จะมีการแนะนำทัวร์ดำน้ำบริเวณเกาะแห่งนี้ แต่ไกด์จะไม่แนะนำให้เดินดุ่ม ๆ เข้าไปในเกาะอย่างแน่นอน และจะนักท่องเที่ยวจะถูกเตือนไม่ให้เข้าใกล้สถานที่ที่มีอุตาคิอย่างเด็ดขาดด้วย เพราะอุตาคิเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเป็นสถานที่ที่ห้ามคนภายนอกเกาะเข้ามา

นอกจากนี้ เกาะอารากุสุคุยังมีเรื่องเล่าอีกว่า ในอดีตบนเกาะไม่มีพืชผลที่จะส่งไปเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่องค์กษัตริย์แห่งอาณาจักรริวกิว ชาวเกาะจึงได้ส่งเนื้อพะยูนให้แทนโดยถือว่าเนื้อพะยูนเป็นยาอายุวัฒนะ อุตาคิบนเกาะแห่งนี้จึงเป็นดินแดนศักดิ์ที่อุทิศแก่ดวงวิญญาณปลาที่ถูกตกไปเป็นเครื่องราชบรรณาการ

นอกจากนี้ บนเกาะยังมีเทศกาลเก็บเกี่ยวบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามใครเข้าไป และเป็นเทศกาลที่จำกัดเฉพาะผู้เกี่ยวข้องบนเกาะเท่านั้นที่เข้าไปในเวลานั้นได้ และยังเป็นที่รู้กันว่าเทศกาลลึกลับประจำปีนี้ เป็นเทศกาลที่ห้ามคนนอกเข้าไปเด็ดขาด ห้ามถ่ายรูป ห้ามนำข้อมูลไปเผยแพร่ภายนอกเป็นอันขาด!

อันดับ 9 : คุบุราบาริแห่งเกาะโยนากุนิ

คุบุราบาริ

ในสมัยอาณาจักรริวกิว มีการเรียกเก็บภาษีรัชชูปการด้วยการคำนวณต่อหัวจากจำนวนประชากร ดังนั้นเมื่อมีประชากรมากขึ้นจึงจำเป็นต้องลดจำนวนลง โดยที่แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานที่กำจัดเด็ก ๆ เพื่อลดการเสียภาษี ดังนั้นจึงเป็นสถานที่แห่งความเศร้า เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์จะกระโดดลงไปที่รอยแยกของหินเพื่อทำแท้ง แต่บางครั้งก็พลาดตกลงไปตาย

สำหรับระบบการจัดเก็บภาษีนี้ เป็นระบบที่มีขึ้นตั้งแต่ปี 1637 โดยมีกลุ่มเป้าหมายผู้เสียภาษีคือชาย-หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 15 ถึง 50 ปี (นับอายุตั้งแต่แรกเกิด) ซึ่งการจัดเก็บภาษีจะทำโดยคำนวณรวมกันระหว่างสภาพที่ดินการทำกินของที่พักอาศัยกับอายุ ดังนั้น เพื่อจำกัดจำนวนประชากร จึงมีเรื่องเล่าว่าในอดีตมีการเกณฑ์หญิงตั้งครรภ์ของแต่ละหมู่บ้านมากระโดดลงไปที่รอยแยกของหินก้อนนี้เพื่อทำแท้งนั่นเอง

โอกินาว่า

จะเห็นว่าดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลก ๆ ที่ทั้งมหัศจรรย์และพิศวงอยู่มากมาย กระทั่งเกิดเป็นอันดับเรื่องราวกอสซิปเรื่องแปลกที่เรานำมาฝากในครั้งนี้ แล้วทุกคนคิดเห็นกันอย่างไรบ้างคะ? เมื่ออ่านแล้ว…คุณเชื่อหรือไม่?

สรุปเนื้อหาจาก: rankingshare.jp
เขียนโดย: IMOUTOCHAN

conomin

conomin คือกลุ่มนักเขียนใหม่ของ conomi ที่คอยนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่น เพื่อคนรักญี่ปุ่น จากปลายปากกาคนรักญี่ปุ่นด้วยกัน

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บริการ

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า