Saga Spring

ฮีลใจได้ในทุกฤดูกาล กับจุดชมวิวสุดตะลึงในซากะที่หาดูที่ไหนไม่ได้ ฉบับฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว!

ที่ จังหวัดซากะ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงช่วงฤดูหนาวนั้นมีวิวทิวทัศน์งดงามมากมายให้ได้ชมอย่างเต็มอิ่ม มาค่ะเราจะพาไปรู้จักกับดอกไม้นานาชนิดที่บานสะพรั่งท่ามกลางอากาศที่สดชื่น อีกทั้งเหล่าใบไม้ที่ถูกย้อมเป็นสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง นอกจากนี้ยังมีทิวทัศน์ยามค่ำคืนในฤดูหนาวสุดแสนโรแมนติกที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงจากหลอดไฟสีต่าง ๆ ราวกับอยู่ในโลกในความฝัน มาสัมผัสถึงความงดงามของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลไปด้วยกัน เรามาวางแผนท่องเที่ยวซากะในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวไปด้วยกันค่ะ!

ฤดูใบใม้ร่วง :  สวนดอกทานตะวันยามาดะ (Yamada Sunflower Garden)

 
 
 
 
 
この投稿をInstagramで見る
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

しゃぼん玉使い🫧なほ(@naho_mtm)がシェアした投稿

ใต้ท้องฟ้าสดใสของฤดูใบไม้ร่วงกับสวนดอกทานตะวันยามาดะสีเหลืองละลานตา”

ไม่ว่าใครถ้าพูดถึงภาพดอกทานตะวันที่บานเต็มทุ่งล่ะก็ คงจะนึกถึงภาพของฤดูร้อนใช่ไหมคะ แต่ที่เมืองมิยากินี้ เราจะได้เพลินเพลินกับดอกทานตะวันที่บานกันเต็มทุ่งในฤดูใบ้ไม้ร่วง!  โดยสมาคมพื้นที่เนินเขาและภูเขาได้นำพื้นที่รกร้างของนาขั้นบันไดมาใช้ในการปลูกดอกทานตะวัน ทำให้ปัจจุบันที่สวนแห่งนี้มีดอกทานตะวันพร้อมบานอวดโฉมต้อนรับผู้คนที่มาเยือนมากกว่าหนึ่งแสนดอก! ยิ่งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ดอกทานตะวันกำลังบานเต็มที่ด้วยแล้วล่ะก็ ที่นี่จะเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่มีนักท่องเที่ยวมาชมความงามของดอกทานตะวันกันอย่างคึกคักเลยค่ะ!

นอกจากนั้นแล้วยังมีใบของต้นฮาเซะ (Hazenok Tree) และดอกหงอนไก่บนภูเขาทาคาโทริ (Mount Takatori) ที่พร้อมใจกันเปลี่ยนสี ความพิเศษคือมีให้เห็นเฉพาะในช่วงเวลานี้เท่านั้นด้วย นับเป็นอีกเสน่ห์นึงที่ต่างจากดอกทานตะวันในช่วงฤดูร้อนเลย อีกทั้งบริเวณพื้นที่ราบเชิงเขาก็มีอากาศเย็นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดอกทานตะวันสามารถบานอวดโฉมอย่างต่อเนื่องไปประมาณ 1 สัปดาห์ด้วยนะคะ ยังไงวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสในฤดูใบไม้ร่วงลองไปเที่ยวที่นี่พร้อมกับกล้องคู่ใจดูสิ!

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเยี่ยมชม : ต้นเดือนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน
ช่วงเปิดให้เข้าชม : 1 – 30 พฤศจิกายน

สวนดอกทานตะวันยามาดะ (Yamada Sunflower Garden)

ที่อยู่849-0102 Saga, Miyaki District, Miyaki, Minobaru
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่คนละ 100 เยน
วิธีเดินทางนั่งแท็กซี่ 10 นาที จากสถานี JR Nakabaru

ฤดูใบไม้ร่วง :  ป่าแห่งศิลปะ (Kankyo Geijutsu No Mori Park)

“ภาพสะท้อนอันตระการตาของป่าแห่งศิลปะที่งดงามอย่างเหลือเชื่อ”

“ป่าแห่งศิลปะ” ตั้งอยู่บนเนินเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขาซาคุเรอิ (Mount Sakurei) ที่ชุมชนเคียวรากิ (Kyuragimachi) เมืองคารัตสึ (Karatsu) โดยเป็นป่าที่สร้างขึ้นด้วยความรู้สึกใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง ด้านในนั้นก็จะมีทั้งบ่อน้ำ สะพานไม้ และอุโมงค์ธรรมชาติ ให้เราได้ดื่มดำไปกับความงามของธรรมชาติในขณะที่เดินเล่นไปรอบ ๆ ได้

และยามเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ราว 10,000 ต้น เช่น ต้นเมเปิ้ลก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดทั่วพื้นที่ 10 เฮคเตอร์นี้ราวกับโลกแห่งความฝัน ส่วนจุดถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Fuuyu Sanso 「風遊山荘」จุดพักที่สร้างขึ้นมาจากเศษไม้ของอาคารเก่าที่สร้างขึ้นในสมัยต้นยุคเมจิ โดยเราสามารถชมภาพอันงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งสะท้อนผ่านโต๊ะเคลือบเงาได้

ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี : พฤศจิกายน

ป่าแห่งศิลปะ (Kankyo Geijutsu No Mori Park)

ที่อยู่667 Kyuragimachi Hirano, Karatsu, Saga 849-3115, Japan
ค่าเข้าชมเดือนพฤศจิกายน
– ผู้ใหญ่ 800 เยน
– เด็กประถมและมัธยมต้น 400 เยน

เดือนอื่นนอกเหนือจากพฤศจิกายน
– ผู้ใหญ่ 700 เยน
– เด็กประถมและมัธยมต้น 300 เยน

*เด็กก่อนวัยเรียนเข้าฟรี
**มีราคาพิเศษแบบกลุ่ม (20 คนขึ้นไป)
วิธีเดินทางนั่งแท็กซี่ 15 นาที จากสถานี Kyuragi (JR Karatsu Line)

ฤดูใบใม้ร่วง :  ทุ่งหญ้าชิจิเมนโซ สวนฮิกาตะโยคะ (Higatayoka Park)

ใบไม้ร่วงในทะเล “ทุ่งหญ้าชิจิเมนโซ” (Shichimensou)

ในช่วงปลายของฤดูใบไม้ร่วงที่ชายฝั่งฮิกาชิโยกะ (Higashiyoka Coast) ของทะเลอาริอาเกะ (Ariake Sea) ซึ่งมีความกว้าง 10 เมตร และครอบคลุมพื้นที่กว่า 16 กิโลเมตรนั้น มี ทุ่งหญ้าชิจิเมนโซ ที่กลายเป็นสีแดงราวกับผืนพรมแดงขนาดใหญ่อยู่

สำหรับหญ้าชิจิเมนโซนั้นเป็นหญ้าที่อยู่ในวงศ์ Amaranthaceae มีลักษณะคือเป็นไม้พุ่ม ความสูงราว 20-40 เซนติเมตร สามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่มีความเค็มสูง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในช่วงที่น้ำขึ้น หรือช่วงน้ำลงจนกลายเป็นหาดเลน หญ้าชิจิเมนโซก็ยังคงสามารถเติบโตได้ดี

ดังนั้นคงไม่ต้องบอกวิวที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างท้องฟ้ายามเย็นกับทุ่งหญ้าชิจิเมนโซสีแดงนั้นสวยงามชวนฝันแค่ไหน! ความพิเศษคือเห็นได้เฉพาะแค่ในช่วงเวลานี้ของปีเท่านั้นอีกด้วยนะคะ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ทุกคนลองไปเที่ยวชมกันดูนะคะ รับรองได้เลยว่าจะต้องประทับใจ

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเยี่ยมชม : ต้นพฤศจิกายน

ทุ่งหญ้าชิจิเมนโซ สวนฮิกาตะโยคะ (Higatayoka Park)

ที่อยู่2885-2 Higashiyokacho Oaza Shimokoga, Saga, 840-2221, Japan
วิธีเดินทางขับรถ 45 นาทีจาก Saga-Yamato IC บนทางด่วน Nagasaki Expressway

ฤดูหนาว :  ทิวทัศน์ยามค่ำคืนสุดโรแมนติกบนจุดชมวิวภูเขาอาซาฮิ (Asahiyama Observation Park)

“เพลิดเพลินไปกับแสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืนจากจุดชมวิวภูเขาอาซาฮิ”

สวนอาซาฮิยามะที่อยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ นั้นเป็นจุดชมซากุระอันโด่งดังของเมืองโทสุ  โดยจุดชมวิวบนยอดเขานั้นอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 132.9 เมตร ทำให้เราสามารถชมวิวทิวทัศน์จากเมืองโทสุไปได้ไกลจนถึงในตัวเมืองซากะเลย

สพหรับไฮไลต์ของที่นี่ในช่วงฤดูหนาวก็คือการได้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนพร้อมสูดอากาศแสนเย็นสดชื่น โดยภาพของแสงไฟจากตัวเมืองที่ส่องประกายระยิบระยับนั้นสวยงามและโรแมนติกอย่าบอกใคร! นอกจากนี้สถานี Shin-Tosu นั้นยังเป็นสถานีที่มีรถไฟชินคันเซนคิวชูมาจอดด้วย เราจึงสามารถมองดูรถไฟชินคันเซนวิ่งผ่านได้ที่สถานีนี้เช่นกัน

Asahiyama Observation Park

ที่อยู่Tosu, Saga 841-0072, Japan
วิธีเดินทางเดิน 5 นาทีจากสถานี Shin-Tosu

ฤดูหนาว : เสียงสะท้อนแห่งแสงของโยชิโนะการิ

งานแสดงแสงสี “เสียงสะท้อนแห่งแสงของโยชิโนะการิ” ที่ทำให้เรารู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในโลกแห่งความฝัน

“โบราณสถานโยชิโนะการิ” สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยยาโยอิ ( 500 ปีก่อนคริสตกาล – คริสต์ศตวรรษที่ 3 ) อยู่ในเขตคันซากิ จังหวัดซากะ ประกอบด้วยหมู่บ้านเก่า และเมืองเก่ารวมสามแห่ง ได้แก่ เมืองเก่าคันซากิ เมืองเก่ามิตากาวะ และหมู่บ้านฮิกาชิเซะฟุริ โดยที่นี่นับเป็นโบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

อุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนะการิ (吉野ケ里歴史公園 / Yoshinogari Historical Park) นั้นบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาจากซากปรักหักพังเก่า อย่างเช่น หอสังเกตการณ์ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาให้เหมือนกับในยุคสมัยนั้นจริง ๆ เป็นสถานที่ที่ทำให้เราได้ย้อนรำลึกถึงญี่ปุ่นในอดีต ในส่วนของงานประดับไฟนั้นจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนธันวาคม ภายใต้ชื่องาน “เสียงสะท้อนแห่งแสงของโยชิโนะการิ (Yoshinogari Hikari no Hibiki)”

ที่ใจกลางของสวน ตรงลานด้านในทางทิศใต้มี “ภาพวาดบนพื้นจากแสง (Hikari no Chijo E)” ที่ทำขึ้นโดยใช้โคมไฟกระดาษจุดเทียนที่มีแสงสีแดง และสีเหลืองประมาณ 6,000 ดวง เมื่อมองลงมาจากหอสังเกตการณ์ก็จะเห็นเป็นลวดลายบนพื้นที่เรียงร้อยเป็นภาพจากดวงไฟ ซึ่งภาพเหล่านี้จะแตกต่างกันออกไปในทุกปี รับประกันเลยว่าผู้ที่ได้มาชมจะต้องตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างแน่นอน!

ตัวหอสังเกตการณ์ และในส่วนบ้านหลุมก็มีการประดับตกแต่งไฟเช่นเดียวกัน ทำให้ทั่วบริเวณนั้นทั้งหมดมีบรรยากาศเหมือนกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน นอกจากนี้ยังมีส่วนงานแสดงที่ชื่อว่า “Night Glow” จะเป็นการแสดงไฟบอลลูนที่วางเรียงรายกันอยู่ ไฟที่เป่าเข้าไปในบอลลูนทำให้บอลลูนส่องสว่างขึ้นมา ดูเป็นเหมือนวัตถุส่องแสงได้ขนาดมหึมา ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูสว่างไสว ตระการตา เป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจมาก และยังหาชมได้ยาก ซึ่งจังหวัดซากะเองนั้นจริงๆแล้วเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีจาก “งานเทศกาลบอลลูนนานาชาติซากะ” ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

ช่วงเวลาจัดงาน : เสาร์และอาทิตย์ของเดือนธันวาคม (รวม 6 วัน)
สถานที่จัดแสดง : ศูนย์อุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนะการิ (ทางออกทิศตะวันออก) , ภายในอุทยานทางทิศใต้
เวลาจัดแสดง : 17.00 – 21.00 น. (ผ่านเข้าประตูได้ถึง 20.30 น.)

Echoes of Light in Yoshinogari Event (At Yoshinogari Historical Park)

ที่อยู่1843 Tade, Yoshinogari, Kanzaki District, Saga 842-0035, Japan
ค่าเข้าหลัง 17.00 น.
– ผู้ใหญ่ 15 ปีขึ้นไป 280 เยน
– ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 200 เยน

*อายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าฟรี
**ก่อน 17.00 น. เข้าฟรี
วิธีเดินทางเดิน 15 นาทีจากสถานี Yoshinogari Koen (JR Nagasaki Line)

ฤดูหนาว : เสาโทริอิกลางทะเลของศาลเจ้าอุโอะ (Oou-o Shrine)

เสาโทริอิกลางทะเลของศาลเจ้าอุโอะ (Oou-o Shrine)

มีเสาโทริอิ 3 เสาอยู่ในทะเลอาริอาเกะ เป็นเสาโทริอิที่เชื่อมระหว่างเกาะโอกิโนะ และศาลเจ้าอุโอะ เสาโทริอินี้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า นานมาแล้ว มีขุนนางชั่วร้ายคนหนึ่งที่ชาวบ้านต่างพากันเกลียดชัง ชาวบ้านได้หลอกให้ขุนนางคนนี้ออกมาและทิ้งเขาไว้ที่เกาะโอกิโนะเพียงลำพัง ในขณะที่เกาะกำลังจะจมน้ำในช่วงเวลาน้ำขึ้นนั้น ขุนนางก็รู้สึกสำนึกผิดถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้ เลยได้อธิษฐานต่อพระเจ้า ทันใดนั้นก็มีปลาตัวใหญ่ปรากฏขึ้น และให้ขุนนางขึ้นขี่หลัง แล้วพาขุนนางกลับขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย หลังจากนั้นมาขุนนางก็ได้กลับตัวกลับใจ ปลาตัวนั้นได้รับการบูชาในนามเทพเจ้าอุโอะไดเมียวจิน (大魚大明神) และมีการสร้างเครื่องสักการะขึ้นระหว่างเสาโทริอิหินกับเกาะโอกิโนะให้กับเทพเจ้าปลาตนนี้ แม้จนกระทั่งในปัจจุบัน เสาโทริอิในน้ำนี้ก็ยังคงได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องจากชาวเมืองท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่น โดยเป็นที่นับถือบูชาให้เป็นเทพผู้พิทักษ์แห่งท้องทะเล โดยผู้คนมักจะอธิฐานขอพรให้จับปลาได้มาก และให้เดินทางในทะเลอย่างปลอดภัย

เมืองทาระที่เป็นที่ตั้งของเสาโทริอินี้ถูกเรียกว่า “เมืองที่สามารถมองเห็นแรงดึงดูดของพระจันทร์ได้” เนื่องจากเมืองทาระเป็นสถานที่ที่มีสภาพของระดับน้ำขึ้นและน้ำลงที่แตกต่างกันมาก ในช่วงเวลาที่น้ำลงเราสามารถเดินลอดใต้เสาโทริอิ และถ่ายรูปกับเสาโทริอิที่สร้างอยู่ในทะเลได้ ซึ่งสภาพจะเปลี่ยนแปลงไปตามการขึ้นลงของน้ำทะเล และช่วงเวลาในแต่ละวัน ทำให้ที่นี่เป็นจุดถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมมากที่หนึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ในตอนเช้าเมื่อพระอาทิตย์ค่อย ๆ เริ่มสาดแสงไปยังท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม เกิดเป็นภาพไล่เฉดสีที่สวยงาม ทำให้บรรยากาศยามเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้นนั้นก็ดูน่าพิศวงไปอีกแบบ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้มาลองสัมผัส แต่อาจจะต้องตื่นแต่เช้ากันนิดนึงนะคะ เพื่อไปให้ทันเก็บภาพประทับใจในช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 30 นาที

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเยี่ยมชม : ฤดูหนาว

เสาโทริอิกลางทะเลของศาลเจ้าอุโอะ (Oou-o Shrine)

ที่อยู่Japan, 〒849-1602 Saga, Fujitsu District, Tara, 多良栄2002
วิธีเดินทางเดิน 10 นาทีจากสถานี JR Tara

ฤดูหนาว : ป่าบ๊วยอุชิโนะโอะ (Ushino-o Bairin)

“ภูเขาจะกลายเป็นสีชมพูสลับขาวกับทิวทัศน์ฤดูหนาวของป่าบ๊วยอุชิโนะโอะ”

ป่าอุชิโนะโอะ เป็นป่าบ๊วยที่อยู่ล้อมรอบ ศาลเจ้าอุชิโนะโอะ (牛尾神社,Ushino-o Shrine) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขาอุชิโนะโอะ (牛尾山,Mt.Ushinoo)โดยเป็นพื้นที่ที่มีต้นบ๊วยมากถึง 5,000 ต้น!

ศาลเจ้าอุชิโนะโอะ ยังเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ในปี 796 โดยมีประวัติอันยาวนานที่ว่า มินาโมโตะ โนะ โยชิตสึเนะ (ซามุไรผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น) กับ เบ็งเก (พระนักรบในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นผู้เป็นข้ารับใช้ของโยชิตสึเนะ) ได้มอบธงที่เอวของตัวเองให้ อีกทั้ง มินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ (โชกุนในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น) ก็เคยบริจาคพื้นที่ให้กับทางศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ในส่วนของด้านอื่น ๆ ก็โดดเด่นในเรื่องของการมีประวัติศาสตร์การปลูกผลไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดซากะ โดยเมื่อถึงช่วงฤดูกาล ภูเขาแห่งนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยดอกบ๊วยสีอ่อน และเหล่าผู้ปลูกบ๊วยในท้องถิ่นก็จะมารวมตัวกันจัดงาน เทศกาลดอกบ๊วยอุชิโนะโอะ ซึ่งในงานนี้จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการแสดงดนตรีสด และการจำหน่ายสินค้าพิเศษประจำท้องถิ่น เป็นต้น

ช่วงเวลที่เหมาะกับการเยี่ยมชม : ปลายกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม

ป่าบ๊วยอุชิโนะโอะ (Ushino-o Bairin)

ที่อยู่Japan, 〒845-0012 Saga, Ogi, 小城町池上
วิธีเดินทางขับรถ 15 นาที จากทางด่วน Nagasaki

ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง และอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวกันแล้ว ใครกำลังมองหาสถานที่วิวสวย ๆ ช่วยฮีลใจ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ในบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร ลองมาเที่ยวที่ซากะกันดูนะคะ แล้วจะเผลอหลงรักซากะกันโดยไม่รู้ตัว!

สรุปเนื้อหาจาก Saga
ผู้เขียน : Hikary

conomin

conomin คือกลุ่มนักเขียนใหม่ของ conomi ที่คอยนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่น เพื่อคนรักญี่ปุ่น จากปลายปากกาคนรักญี่ปุ่นด้วยกัน

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บริการ

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า