หุบเขาคุโรเบะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นในจังหวัดโทยามะ หุบเขานี้ถือเป็นหนึ่งในหุบเขารูปตัว V ที่ลึกที่สุดของญี่ปุ่น อีกทั้งยังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 3 หุบเขาหลัก และ 1 ใน 100 พื้นที่ลึกลับที่ยังไม่มีใครสำรวจ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วมีใครเริ่มสนใจอยากไปเที่ยวบ้าง? วันนี้ conomi ก็มีวิธีการเที่ยวหุบเขาคุโรเบะให้ได้ประสบการณ์ที่พิเศษกว่าเดิมมานำเสนอนักอ่านทุกท่านค่ะ! นั่นก็คือการนั่งรถ Kurobe Torokko (トロッコ電車, Kurobe Gorge Trolley Train) ชมวิวหุบเขาอันแสนตระการตาแห่งนี้ จะพิเศษยังไงไปดูพร้อมกันเลย!
รถไฟรางที่อยู่คู่หุบเขาคุโรเบะมายาวนาน
Kurobe Torokko (Gorge Trolley Train) คือรถไฟรางชมวิวที่วิ่งเลียบแม่น้ำคุโรเบะ โดยมีจุดเริ่มต้นที่สถานี Unazuki และสิ้นสุดที่สถานี Keyakidaira คิดเป็นระยะทางรวมทั้งสิ้น 21.3 กิโลเมตร และใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาทีต่อเที่ยว
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะมีรถไฟรางนี้เกิดขึ้น หุบเขาคุโรเบะในอดีตได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ลึกลับที่ห้ามไม่ให้ใครเข้า และเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีฝนตกชุกและแม่น้ำไหลเชี่ยว จึงถูกทำให้เป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าจากน้ำ โดยในปี 1923 ได้มีการเริ่มก่อสร้างรถไฟรางขึ้นมา เพื่อใช้สำหรับขนย้ายคนงานและวัสดุไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าดังกล่าว ซึ่งแม้ว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายก็มีโรงไฟฟ้าเกิดขึ้นมากมายที่ ณ บริเวณแม่น้ำคุโรเบะแห่งนี้ โดยในจำนวนทั้งหมดนั้น Kurobegawa No.4 หรือที่เรียกกันว่า “Kuroyon” ถือได้ว่าเป็นโครงการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ยังคงสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงในปี 1953 จากที่รถไฟรางเคยถูกใช้ในการขนย้ายวัสดุก่อสร้างตามที่กล่าวไป ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นรถไฟโดยสารท่องเที่ยวในเส้นทางรถไฟช่องเขาคุโรเบะ (Kurobekeikoku Tetsudo) และได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ทำไมถึงต้องนั่ง Kurobe Torokko เที่ยวหุบเขา?
ขายมาขนาดนี้แล้ว สงสัยกันใช่ไหมคะว่าเจ้ารถนี้มีดียังไง? ไปดูเหตุผลพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า!
1. วิวหลักล้านที่หาที่ไหนไม่ได้!
ไฮไลต์ที่สำคัญของ Kurobe Torokko นั่นก็คือการได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ทั้งวิวแม่น้ำคุโรเบะอันใสสะอาดและวิวหุบเขาที่เปลี่ยนไปในแต่ละฤดูกาล เช่น หุบเขาเขียวขจีในช่วงใบไม้ผลิ หรือหุบเขาใบไม้แดงในช่วงใบไม้ร่วง ในส่วนของตู้โดยสารก็จะมีให้บริการด้วยกันทั้งหมด 2 แบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะให้บรรยากาศที่แตกต่างกันไป ดังนี้
- ตู้โดยสารแบบธรรมดา: เป็นแบบที่มีที่นั่งผู้โดยสาร 4 คนต่อหนึ่งแถวและไม่มีหน้าต่าง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำกับสายลมเย็น ๆ และธรรมชาติริมแม่น้ำคุโรเบะได้อย่างใกล้ชิด
- ตู้โดยสารแบบเน้นผ่อนคลาย: เป็นแบบที่มีที่นั่งผู้โดยสาร 3 คนต่อแถว แต่ความพิเศษคือจะได้ที่นั่งกว้างกว่าแบบธรรมดา โดยเราสามารถเพลิดเพลินกับธรรมชาติผ่านหน้าต่างบานใหญ่ได้อย่างผ่อนคลาย
ทั้งนี้ ที่นั่งที่ดีที่สุดในการชมวิวก็คือ ที่นั่งในฝั่งขวามือ ดังนั้นใครอยากได้วิวที่ดีที่สุดอย่าลืมตรวจสอบที่นั่งกันก่อนนะคะ
2. สถานที่ท่องเที่ยวมากมายตลอดทาง!
สำหรับเส้นทางช่องเขาคุโรเบะนั้นเรียกได้ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวตั้งอยู่รอบ ๆ แบบคับคั่ง! เริ่มตั้งแต่เมื่อออกจากสถานี Unazuki ไปจนถึงสถานี Kuronagi ระหว่างทางเราจะได้พบกับ สะพานแดงชินยามะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge) ที่ตั้งอยู่เหนือจากแม่น้ำด้านล่างขึ้นมาถึง 40 เมตร! และเมื่อไปต่อเรื่อย ๆ ทิวทัศน์ก็จะเปลี่ยนไปเป็นวิวของ ทะเลสาบอุนาสุกิ (Unazuki Lake) ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงามและผืนน้ำสีเขียวมรกต! ปิดท้ายด้วยการชม โรงไฟฟ้าชินยานากาวาระ (Shinyanagawara Power Plant) ที่ถูกออกแบบมาในสไตล์ยุโรปเก่าแก่ มองออกไปไกล ๆ ทุกคนอาจจะลืมไปเลยว่าเรากำลังอยู่ในญี่ปุ่น!
พอมาถึงช่วงสถานี Kuronagi กับสถานี Kanetsuri เราก็จะเจอกับอีกหนึ่งสะพาน นั่นก็คือ สะพานเหล็กสีน้ำเงิน Atobiki โดยความพิเศษของจุดนี้คือเป็นจุดที่สูงจนนักปีนผายังต้องขาสั่น! เพราะสูงจากด้านล่างขึ้นมาถึง 60 เมตร ซึ่งมากกว่าตรงสะพานแดงเสียอีก!
รับชมความตื่นเต้นกันไปแล้ว ต่อไปก็ไปพบกับ Dashiroppo (出し六峰) ทิวทัศน์ภูเขาสูงใหญ่ 6 ลูก ที่ตั้งตระหง่านติดกัน! และความยิ่งใหญ่ของ กำแพงหินเนสุมิคาเอชิ (Nezumi-kaeshi) ที่สูงกว่า 200 เมตร! สำหรับใครที่มาจุดนี้ในช่วงใบไม้แดงก็จะยิ่งสวยงามเป็นพิเศษอีกด้วยค่ะ
3. แวะลงสำรวจพื้นที่ลึกลับกลางหุบเขา!
จากสถานี Kanetsuri หากเราเดินลงบันไดต่อมาอีกประมาณ 10 นาที ก็จะมาถึงยังบริเวณลำธารด้านล่าง ตรงจุดนี้เราสามารถเพลิดเพลินไปกับสายน้ำเย็น ๆ ในช่วงฤดูร้อน อีกทั้งยังมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติให้เราได้ผ่อนคลายสบาย ๆ อีกด้วย
ส่วนอีกจุดที่อยากให้ลองเดินไปสำรวจเลยก็คือบริเวณ จุดชมวิว Kurobe Mannen Yuki หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า จุดชมหิมะหมื่นปี ที่เรียกกันเช่นนี้ก็เพราะในช่วงฤดูหนาวภูเขา Hyakukan จะมีหิมะถล่มลงมาและทับถมกันขึ้นไปเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่แม้จะผ่านฤดูหนาวไปแล้วหิมะก็ยังคงละลายไม่หมด กระทั่งวนมาอีกรอบหิมะกองใหม่ก็ทับถมซ้ำขึ้นไปอีก จึงเป็นที่มาของชื่อ หิมะหมื่นปี นั่นเองค่ะ!
4. ตามล่าหาออนเซ็นลับที่ซ่อนอยู่ระหว่างทาง!
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือการแวะไปแช่ออนเซ็นซึ่งตั้งอยู่ตามแนวเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น Kuronagi Onsen น้ำพุร้อนเก่าแก่ท่ามกลางวิวหุบเขาอันงดงาม หรือ Kanetsuri Miyamaso Onsen ที่สามารถชมวิวรถไฟแล่นผ่านหุบเขาได้ หรือจะเป็น Sarutobi Sanso Onsen ที่มีเสิร์ฟอาหารท้องถิ่นที่ทำจากผักป่าและปลาอิวานะสด ๆ บนภูเขา
5. เบนโตะและของฝากให้เลือกมากมาย!
ที่สถานี Unazuki ซึ่งอยู่ต้นทางมีจำหน่ายข้าวกล่องเบนโตะอยู่หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเบนโตะหน้าทงคัตสึ, คาราอาเกะ, หมูผัดขิง หรือแฮมเบิร์ก เป็นต้น และในส่วนของฝาก ก็มีร้านจำหน่ายมากมายให้เลือก ซึ่งสินค้าก็มีทั้ง โมเดลรถไฟราง Torokko (トロッコチョロQ) และบรรดาของกินต่าง ๆ เช่น เค้กช็อกโกแลต หมึกหิ่งห้อยดอง และเซมเบ้กุ้งขาวพรีเมี่ยม เป็นต้น
ใบไม้ร่วงนี้ นั่ง Kurobe Torokko ไปชมหุบเขาใบไม้แดงกันเถอะ!
แม้ในช่วงฤดูหนาวหุบเขาคุโรเบะจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนา แต่ในช่วงตั้งแต่ กลางเดือนเมษายนจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ที่เปิดทำการนั้น จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวหนาแน่นอยู่ตลอด ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าสามารถมาเที่ยวชมธรรมชาติที่เปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูได้ตามความชอบ
แต่สำหรับฤดูกาลที่จะได้ทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุด แน่นอนว่าจะต้องเป็น ช่วงใบไม้แดง! เพราะเราจะได้เห็นเขาคุโรเบะถูกย้อมไปด้วยสีแดงสลับเหลืองทั้งลูก! ยิ่งหากได้มองทัศนียภาพนั้นจากมุมหน้าต่างของ Kurobe Torokko ด้วยแล้ว รับรองว่าจะต้องกลายเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมอย่างแน่นอนค่ะ!
และทั้งหมดนี้ก็คือความพิเศษของการนั่ง Kurobe Torokko ชมวิวหุบเขาคุโรเบะที่เรานำมาฝากวันนี้ค่ะ ใครมีแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นอยากให้ไปลองไปเปิดประสบการณ์การนั่งดูนะคะ รับรองว่าเอาไปลงโซเชียลแพลตฟอร์มไหนจะต้องมีแต่คนกดเลิฟแน่นอน!
ทั้งนี้ในส่วนของ Route เส้นทางอาจมีการปรับเปลี่ยนตามฤดูกาลหรือปิดซ่อมแซมบางส่วน ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบข้อมูลที่เว็บไซต์ให้ดีก่อนไปด้วยนะคะ
สรุปข้อมูลจาก: info-toyama.com kurotetu