วัดนํ้าใสหรือวัดคิโยมิสึ (清水寺) เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองเกียวโต มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีคุณค่าวัฒนธรรม เป็นสถานที่ที่มักปรากฏในอนิเมะและภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องอีกด้วย ในบทความนี้จะมานำเสนอประวัติความเป็นมาและจุดไฮไลท์ที่ห้ามพลาดของวัดคิโยมิสึ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่เมื่อไปเกียวโตแล้วห้ามพลาดที่จะไปเยี่ยมชม!
เรื่องเล่าการก่อตั้งวัดคิโยมิสึ
วัดคิโยมิสึ ตั้งอยู่ในเขตฮิกาชิยามะ เมืองเกียวโต ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 778 โดยพระภิกษุเคนชิน ซึ่งกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่เมืองนารา วันหนึ่งท่านฝันว่าได้รับข้อความให้เดินทางไปทางเหนือเพื่อค้นหาน้ำพุที่ใสสะอาด ทำให้ท่านตัดสินใจออกเดินทาง และในที่สุดก็ได้ค้นพบ น้ำตกที่ไหลออกมาเป็นน้ำบริสุทธิ์ บนภูเขาโอโตวะ จังหวัดเกียวโต
ต่อมาท่านก็ได้พบกับ ฤาษีเกียวเอโคจิ ที่อาศรมริมน้ำตก ในตอนนั้นฤาษีได้มอบต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และกล่าวกับพระเคนชินว่า “จงนำต้นไม้นี้ไปสร้างรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมและช่วยปกป้องไว้ด้วยเถิด” เขากล่าวก่อนจะหายไป นั่นทำให้พระเคนชินเชื่อว่าฤาษีอาจเป็นร่างอวตารของพระโพธิสัตว์กวนอิม จึงอยู่ปกป้องสถานที่ศักสิทธิ์ริมน้ำตกแห่งนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สองปีถัดมา ซากาโนะอุเอะ โนะ ทามุระมาโระ ขุนนางชั้นสูง ได้ออกไปล่ากวางที่ภูเขาโอโตวะ และได้พบกับพระเคนชินที่น้ำตกโอโตวะพอดี เมื่อนั้น เพื่อไม่ให้ ซากาโนะอุเอะ โนะ ทามุระมาโระ ฆ่าสัตว์ พระเคนชินจึงได้อรรถาธิบายคุณธรรมของพระโพธิสัตว์กวนอิมให้ฟัง จนเขาเกิดประทับใจในคำสอนอย่างมาก และได้สร้างวัดขึ้นมา โดยมีพระโพธิสัตว์กวนอิม 11 เศียรเป็นพระประธาน และตั้งชื่อให้ว่า “วัดคิโยมิสึ” เพื่อเป็นเกียรติแก่ความบริสุทธิ์ของน้ำตกโอโตวะ นี่เอง
กว่าจะกลายเป็นมรดกโลกที่สำคัญของเกียวโต
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง โถงวิหารหลักของวัดยังเป็นแค่โถงเล็กแคบ ๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก กระทั่งเมื่อ ซากาโนะอุเอะ โนะ ทามุระมาโระ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เขาก็ได้เริ่มขยับขยายเรื่อย ๆ จนในปีที่ 810 ก็กลายเป็นวัดที่จักรพรรดิให้การยอมรับอย่างเป็นทางการ นำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในด้านต่าง ๆ
ผลที่ตามมาอีกอย่างก็คือ อิทธิพลของวัดที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ มีการเล่าว่าประชาชนในตอนนั้น ศรัทธาในพระโพธิสัตว์กวนอิม ของวัดคิโยมิสึ มากกว่าพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมเสียอีก
เมื่อวันเวลาผ่านไปวัดก็เติบโตและเจริญรุ่งเรืองมาเรื่อย ๆ ทว่าก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะ หากเราดูตามบันทึกทางประวัติศาตร์จะเห็นว่า เมืองเกียวโตต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มากมาย วัดคิโยมิสึเองก็ได้รับความเสียหายจากความวุ่นวายเช่นนั้นอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ ก็ได้รับการบูรณะด้วยความศรัทธาของเหล่าพุทธศาสนิกชนอยู่เสมอ
เมื่อก้าวเข้าสู่สมัยเมจิ ได้มีการแยกศาสนาชินโตและพุทธศาสนาออกจากกัน ทำให้ ศาลเจ้าจิชู (Jishu Shrine) ที่มีชื่อเสียงเรื่องเทพเจ้าแห่งความรักที่เก่าแก่ที่สุดในเกียว และตั้งอยู่ทางเหนือของวิหารหลัก ต้องแยกตัวออกไป แต่ที่สุดแล้ว ในปี ค.ศ. 1994 วัดคิโยมิสึ ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก ในฐานะทรัพย์สินอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ (Historic Monuments of Ancient Kyoto) ร่วมกับแหล่งมรดกโลกอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ใน จังหวัดเกียวโตและจังหวัดชิงะ
5 จุดไฮไลต์ห้ามพลาดที่วัดคิโยมิสึ!
วัดคิโยมิสึมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี และมีพื้นที่กว้างขว้าง สำหรับใครไม่รู้ว่าควรเริ่มจากที่ไหนดี ให้หัวข้อนี้เป็นตัวช่วยตัดสินใจนะคะ มาดูกันค่ะว่า 5 จุดไฮไลต์ภายในวัดคิโยมิสึจะมีที่ไหนบ้าง!
1. “วิหารหลัก” และ “ระเบียงวัดคิโยมิสึ” สร้างขึ้นโดยใช้วิธีสถาปัตยกรรมดั้งเดิม
วิหารหลัก ตั้งอยู่บนหน้าผาภูเขาโอโตวะ เป็นอาคารไม้แบบดั้งเดิม ด้านหน้าวิหารหลักคือ ระเบียงไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์สำคัญที่สุดของวัดคิโยมิสึ และเป็นที่รู้จักดีในชื่อ “ระเบียงวัดคิโยมิสึ” ในภาษาญี่ปุ่น ก็ถึงกับมีสุภาษิตที่กล่าวว่า
“Kiyomizu no butai kara tobioriru (清水の舞台から飛び降りる)"
แปลตรงตัวได้ว่า “กระโดดลงจากระเบียงวัดคิโยมิสึ” หมายถึง การตัดสินใจโดยเด็ดขาดหรือกล้าตัดสินใจ มีที่มาจากความเชื่อในสมัยเอโดะที่ว่า หากผู้ใดสามารถกระโดดจากระเบียงวัดที่มีความสูง 13 เมตรแล้วรอดชีวิต ความปรารถนาจะเป็นจริง
ทั้งนี้ ระเบียงวัดคิโยมิสึ ก็ถือเป็นจุดชมทัศนียภาพอันงดงามของเมืองเกียวโตที่ยอดเยี่ยม เพราะจากตรงนี้สามารถเห็นวิวเมืองรายล้อมไปด้วยธรรมชาติแบบพาโนรามาได้เลย! จึงไม่แปลกที่ทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก จะต้องไปเหยียบระเบียงนี้ให้ได้สักครั้ง!
แต่นอกจากวิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังเต็มไปด้วยคุณค่าในแง่ของสถาปัตยกรรมอีกด้วยนะ! ในส่วนของวิหารหลักนั้น ก่อสร้างขึ้นมาจากรูปแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่เรียกว่า “คาเคซึคุริ” อันเป็นโครงสร้างที่ต้านทานแผ่นดินไหวได้สูง นิยมใช้สร้างสิ่งก่อสร้างบนหน้าผา ด้วยการจัดวางไม้ให้เป็นลายตารางและรองรับซึ่งกันและกัน ตัวระเบียงรองรับด้วยเสาถึง 18 ต้นที่สร้างจากไม้ฮิโนกิ หรือสนไซเปรสสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่มีอายุมากกว่า 400 ปี เสาต่าง ๆ เอง ก็ประกอบขึ้นโดยใช้วิธีการต่อที่เรียกว่า “สึกิเตะ” ซึ่งใช้ไม้ประกอบเข้าด้วยกันโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว
2. “น้ำตกโอโตวะ”ต้นกำเนิดของวัดคิโยมิสึ
น้ำตกโอโตวะ เป็นต้นกำเกิดของวัดคิโยมิสึและ ที่มาของชื่อวัด ปัจจุบันนํ้าตกก็ยังคงไหลอย่างต่อเนื่องโดยไม่เคยเหือดแห้ง ทางวัดแบ่งนํ้าบริสุทธิ์ออกเป็นสามท่อ ด้านขวาช่วยเรื่องสุขภาพให้มีอายุยืนยาว ตรงกลางช่วยเรื่องความรักและการแต่งงาน ด้านซ้ายช่วยเรื่องความสำเร็จเรื่องการเรียนการทำงาน
ผู้มาสักการะสามารถเลือกนํ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ตามความปรารถนา แต่สามารถเลือกได้เพียงหนึ่งเรื่องต่อการมาสักการะหนึ่งครั้งเท่านั้น เพราะเชื่อว่าหากดื่มน้ำจากแหล่งที่มาเดียวกันหลายครั้ง จะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสัมผัสได้ถึงความโลภในจิตใจ และยกเลิกความปรารถนาที่ขอมาทันที! เพราะฉะนั้นคิดให้ดีและเลือกสิ่งที่ต้องการมากที่สุด อย่าท้าทายระบบนะคะ เตือนแล้ว!
3. “นิโอมง”ประตูหลักอันสง่างามของวัดคิโยมิสึ
นิโอมง คือ ประตูที่มีสีแดงชาดเงางามเป็นประกาย แม้ว่าจะได้รับความเสียหาย แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมให้มีความสวยงามตามต้นแบบดั้งเดิม ที่หน้าประตูจะสังเกตว่า มีรูปปั้นหินสิงโตสุนัขตั้งอยู่ ซึ่งรูปปั้นนี้ค่อนข้างพิเศษไม่เหมือนที่อื่น เพราะโดยทั่วไปแล้วสิงโตสุนัขจะอ้าปากหนึ่งตัวและไม่อ้าปากหนึ่งตัว แต่ความพิเศษของสิงโตสุนัขที่วัดคิโยมิสึคือ สิงโตสุนัขจะอ้าปากค้างทั้งคู่ โดยสิงโตสุนัขคู่นี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1944 และจำลองมาจากสิงโตสุนัขที่ประตูนันไดมงของวัดโทไดจิ ในจังหวัดนารา ซึ่งเดิมทีสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่ศาลเจ้าจิชูซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน
4. “นิชิโอมง” ประตูทางด้านขวาของนิโอมง
เมื่อเดินผ่านประตูนิโอมง ก็จะเห็น ประตูนิชิโอมง หรือ ประตูทิศตะวันตกของวัดคิโยมิสึ อยู่ทางด้านขวามือ ประตูนิชิโอมงได้รับการบูรณะในปี ค.ศ. 1631 เป็นจุดที่เหมาะกับการชมพระอาทิตย์ตกเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะได้เห็นภาพพระอาทิตย์ค่อย ๆ หายลับไปหลังเทือกเขานั่นเอง ถ้ามีเวลาแนะนำให้มาช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกนะคะ
และสำหรับใครที่สนใจอยากฝึกทำสมาธิแบบพุทธศาสนาง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความรู้หรือประสบการณ์ ก็สามารถทำได้โดยวิธีการตามแบบของที่นี่คือ จ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังตกด้วยจิตใจนิ่งสงบ เพื่อการเผชิญกับตัวตนภายในของตนเอง ซึ่งในภาษาญี่ปุ่น เราจะเรียกว่า “นิสโสกัง (Nissoukan)”
5. “เจดีย์สามชั้น” สัญลักษณ์ประจำเกียวโต
จุดสุดท้ายก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์เช่นกัน คิดว่าทุกคนน่าจะเคยเห็นคุ้นตาแล้ว นั่นก็คือ เจดีย์สามชั้น ตั้งอยู่ด้านหลังของประตูทางทิศตะวันตกของวัดคิโยมิสึ มีความสูงประมาณ 31 เมตร เป็นหนึ่งในเจดีย์ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของวัดคิโยมิ เพราะสามารถมองเห็นได้จากบนถนนในเกียวโต เจดีย์สามชั้นในปัจจุบันได้รับการบูรณะใหม่ในปี ค.ศ. 1632
วัดคิโยมิสึ เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความสวยงามในแง่ของทัศยภาพ และคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกญี่ปุ่น ให้แวะเวียนมาสักการะเยี่ยมชมวัดนํ้าใสแห่งนี้อยู่เสมอ ขอเม้าท์ให้ฟังนิดนึงว่าตรงระเบียงไม้ที่อยู่ตรงหน้าผา สมัยก่อนคนญี่ปุ่นเขากระโดดกันลงมาจริง ๆ ตามความเชื่อ คนรอดชีวิตก็มีเพราะข้างล่างมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ทำให้พอช่วยลดแรงกระแทกได้ แต่ความปรารถนาเป็นจริงมั้ยก็ไม่มีใครเก็บหลักฐานไว้นะคะ ไม่แนะนำให้พิสูจน์ แค่มาชมวิวเฉย ๆ ก็ฟินแล้วล่ะค่ะ!
วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera)
ที่ตั้ง | 1 Chome-294 Kiyomizu, Higashiyama Ward, Kyoto, 605-0862, Japan |
เวลาเยี่ยมชม | 06.00 – 18.00 น *ช่วงเวลาชมพิเศษตอนกลางคืนคือ 6.00 น. – 21.30 น. |
ค่าเข้าชม | ผู้ใหญ่ (นักเรียนม.ปลายขึ้นไป) 400 เยน / นักเรียนประถมฯและม.ต้น 200 เยน (Jun-2024) |
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ | kiyomizudera |
การเดินทาง | จากสถานี JR Kyoto ขึ้นรถบัสสาย 206 ที่มุ่งหน้าไปยังสถานีขนส่ง Higashiyama-dori Kitaoji และลงที่ป้าย Gojozaka จากนั้นเดินต่อประมาณ 10 นาที |
สรุปเนื้อหาจาก: thegate12.com , kiyomizudera