“ใบไม้เปลี่ยนสี” และ “ของกิน” เป็น 2 คำที่นิยามฤดูใบไม้ร่วง และเป็นอะไรที่หลายคนต่างรอให้กลับมาในทุก ๆ ปี ก็เนอะ ใครไม่ชอบของอร่อยบ้างล่ะ! และสำหรับใครที่อยากฉลองเทศกาลแห่งสีสันธรรมชาติร้อนแรงพร้อมอร่อยไปกับของกินท้องถิ่นสุดยูนีคประจำฤดูกาล ท็อปและคิน สองนักเขียนของ conomi ขอกวักมือชวนทุกคนขึ้นรถไฟไปจังหวัดฟุกุชิม่า จังหวัดอาคิตะ และจังหวัดอาโอโมริของภูมิภาคโทโฮคุ ซึ่งเป็นภูมิภาคหนึ่งที่รวมของอร่อยและวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
1. จังหวัดฟุกุชิม่า
พิกัดวิวใบไม้เปลี่ยนสีจังหวัดฟุกุชิม่า
ปราสาทสึรุกะ สัญลักษณ์เมืองซามูไรไอสึ-วากามัตสึ
เริ่มกันที่แรกที่ใกล้โตเกียวที่สุดกันก่อน นั่นคือปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城, Tsuruga Castle) ในจังหวัดฟุกุชิม่า ปราสาทสึรุกะตั้งอยู่ในเมืองไอสึ-วากามัตสึ (会津若松, Aizu-Wakamatsu) เมืองที่ผูกอยู่กับประวัติศาสตร์ซามูไร และแน่นอนว่าปราสาทสึรุกะเองก็เป็นฉากหลังในเหตุการณ์สำคัญ ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะในสงครามโบชินช่วงปีค.ศ. 1868 แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ปัจจุบันปราสาทสึรุกะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองไอสึ-วากามัตสึ และเป็นปราสาทที่มีหลังคาสีแดงซึ่งหาชมได้ยากในบรรดาปราสาททั่วประเทศญี่ปุ่น
และสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพปราสาท ปราสาทสึรุกะเป็นปราสาทที่ว่ากันว่าจะอยู่ตรงไหนก็หามุมสวยถ่ายได้ตลอด โดยเฉพาะช่วงซากุระในฤดูใบไม้ผลิ และช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง
ตอนที่ท็อปและคินไปถึงเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ถึงอย่างนั้นรอบ ๆ ปราสาทก็มีต้นแปะก๊วยสีเหลืองให้ชมกันแล้ว (ถึงจะยังเหลือสีอมเขียวนิด ๆ ของฤดูร้อนอยู่บ้างก็ตาม) ตอนแรกก็นึกอยู่ว่าสวนปราสาทกว้างขนาดนี้ จะเริ่มถ่ายรูปจากตรงไหนดี แต่ก็ไม่ต้องคิดมากเลย เพราะเดินแป๊บ ๆ ก็ได้มุมถ่ายรูปแล้ว ซึ่งจุดแรกคือใต้ต้นแปะก๊วยที่ถูกตัดแต่งกิ่งให้พอมองเงยขึ้นแล้วจะรับกับรูปทรงของปราสาทได้สวยแต่ก็ยังดูเป็นธรรมชาติอยู่ ช่วงที่ไปถึงเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ พอดี ทำให้ได้แสงโทนอุ่นซึ่งเหมาะกับการถ่ายรูปปราสาทสึรุกะกลางต้นแปะก๊วยสีทองสุด ๆ
หลังเก็บรูปจนพอใจก็เดินตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะพาเราวนออกมาที่กลางสวนและได้ภาพด้านข้างของปราสาทแบบไกล ๆ
จากตรงนั้น พอหันหลังให้ปราสาทเราก็เห็นทิวใบไม้เปลี่ยนสีข้างหลังรั้วไม้ พอเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าที่นั่นคือสวนที่เป็นที่ตั้งของเรือนน้ำชารินคาคุ (茶室麟閣) ตั้งอยู่ และมาเที่ยวปราสาทญี่ปุ่นทั้งที จะไม่แวะพักดื่มชากินขนมก็คงไม่ครบรส!
เรือนน้ำชารินคาคุเป็นเรือนน้ำชาที่ว่ากันว่ากาโม อุจิซาโตะ (蒲生氏郷) เจ้าของปราสาทสึรุกะ ณ ขณะนั้นสร้างขึ้นเพื่ออุปถัมภ์เซ็น โชอัน (千少庵) บุตรชายของเซ็น โนะ ริคิว (千利休) อาจารย์และบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพิธีชงชาอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน ถึงจะเคยถูกย้ายที่ตั้งไปที่อื่นมาก่อน แต่ทุกวันนี้เรือนน้ำชารินคาคุกลับมาสู่ปราสาทสึรุกะดังเดิม โดยตั้งอยู่ในสวนญี่ปุ่นเล็ก ๆ ในบรรยากาศเงียบ ๆ ซึ่งในฤดูใบไม้ร่วง แขกที่แวะเข้ามานั่งพักจะได้ดื่มชาพลางชมใบไม้เปลี่ยนสีและรับลมเย็นสดชื่นสบาย ๆ
ระหว่างเคี้ยวขนมก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายใบไม้สีแสดที่เด่นคู่กับร่มญี่ปุ่นสีแดงไปพลาง เอาแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
อ้อ ถ้าเพื่อน ๆ เป็นติ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นล่ะก็ สามารถเดินวนดูรอบเรือนน้ำชาเล็ก ๆ ที่เปิดให้เราดูบรรยากาศข้างในได้ด้วยนะ
ปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城, Tsuruga Castle)
ที่อยู่ | 1-1 Otemachi, Aizuwakamatsu, Fukushima 965-0873, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | หอปราสาทเปิดให้เข้าได้ 8.30 – 17.00 น. (Last Entry 16.30) และในช่วงกลางคืนสามารถชม Light-up ปราสาทได้ (ไม่มีวันหยุด) |
ค่าเข้า | ผู้ใหญ่ 410 เยน เด็ก 150 เยน ค่าเข้าปราสาทที่รวมค่าเข้าเรือนน้ำชารินคาคุ 520 เยน (เซ็ทชาและขนม 600 เยน / ที่) |
การเดินทาง | จากสถานี JR Aizu-Wakamatsu นั่งรถบัส Haikara-san หรือ Akabe 20 นาที |
เว็บไซต์ | tsurugajo.com |
มาฟุกุชิม่าก็ต้องกินนี่! คัตสึด้งราดซอส
คัตสึด้งราดซอส? เมนูที่หากินได้ทั่วไปตามร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยเนี่ยนะ? ใช่ คัตสึด้งราดซอสเป็นอาหารขึ้นชื่อของฟุกุชิม่า โดยเฉพาะในเมืองไอสึ-วากามัตสึแห่งนี้ คัตสึด้งราดซอสเป็นเมนูที่ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกนิยมเสิร์ฟกันในช่วงหลังสงครามโลก แต่จนถึงทุกวันนี้ที่มาที่ไปของเมนูนี้ก็ยังเป็นปริศนา
จุดเด่นของคัตสึด้งราดซอสของไอสึ-วากามัตสึก็คือซอสหวานเค็มที่ผ่านการเคี่ยวและปรับสูตรจนได้ซอสเข้มข้น แต่จะอร่อยขนาดไหนนั้นต้องไปพิสูจน์กันเอง และร้านที่เราไปกันก็คือร้าน Katsuichi (とんかつの店かつ一) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Aizu-Wakamatsu ร้านอาจจะดู Local หน่อย แต่แบบนี้แหละอร่อยแน่!
คัตสึด้งราดซอสเสิร์ฟมาในชามใหญ่ที่ปิดฝาไว้ แต่นั่นก็ยังปิดชิ้นหมูทอดคัตสึชิ้นโตไว้ไม่มิด โดยชั้นบนสุดก็คือหมูทอดคัตสึชิ้นหนาที่ราดซอสมาชุ่ม ๆ ข้างล่างลงไปมีกะหล่ำปลีสดหั่นซอยที่ให้มาไม่ยั้งและข้าวสวยร้อน ๆ ที่เยอะพอ ๆ กัน แว๊บแรกที่เห็นก็คิดในใจอยู่เหมือนกันว่าถ้ากินนี่หมดก็คงไม่ต้องกินอะไรไปอีกเลยทั้งวัน เพราะร้านให้เยอะสะใจมาก
แต่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องจะกินไม่หมดเลย เพราะซอสนั้นช่วยให้คีบหมูทอดเข้าปากได้เรื่อย ๆ แบบหยุดไม่อยู่ คงเพราะในรสหวานเค็มที่เราคุ้นเคยนั้นมีความเปรี้ยวนิด ๆ ซ่อนอยู่ และมีกลิ่นเครื่องเทศบางอย่างอยู่ด้วย ซึ่งจนตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ ๆ คือซอสนี้เองที่เป็นตัวชูโรงและทำให้อร่อยกับคัตสึด้งราดซอสได้หมดชามแบบที่ไม่รู้สึกเลี่ยนแม้แต่น้อย และถ้ากำลังหิวจัดล่ะก็ ไม่แน่ว่าเพื่อน ๆ อาจจะอยากเบิ้ลอีกชามก็ได้นะ!
Katsuichi (とんかつの店かつ一)
ที่อยู่ | 9−25 3 Chome, Aizuwakamatsu, Central, Fukushima 965-0037 Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.00 – 14.00 น. และ 17.00 – 21.30 น. (ไม่มีวันหยุด) |
การเดินทาง | เดิน 6 นาทีจากสถานี JR Aizu-Wakamatsu |
2. จังหวัดอาคิตะ
พิกัดวิวใบไม้เปลี่ยนสีจังหวัดอาคิตะ
ขยับกันขึ้นมาที่จังหวัดอาคิตะ จังหวัดที่อยู่เกือบเหนือสุดของเกาะฮอนชูญี่ปุ่น สำหรับจังหวัดนี้ท็อปกับคินมี 2 ที่ที่อยากแนะนำ!
หุบเขาดาคิกาเอริ โลเคชั่นใบไม้เปลี่ยนสีชั้นเยี่ยมของอาคิตะ
หุบเขาดาคิกาเอริ (抱返り渓谷, Dakigaeri Valley) ตั้งอยู่ในเมืองเซ็มโบคุ (仙北市, Semboku City) และเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอาคิตะ ทันทีที่ลงจากรถตรงทางเข้า เราจะเห็นตัวหุบเขาอยู่ไกล ๆ เลยทันที
ช่วงแรกของทางเดินจะเป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำ ซึ่งทันทีที่เข้าใต้ร่มไม้ก็รู้สึกได้เลยว่าอากาศเย็นขึ้นอีกระดับในทันที หลังเดินไปสักพักเราจะมาถึงสะพานสีแดงสดที่ให้เราได้เห็นหุบเขาดาคิกาเอริในมุมกว้างได้ใกล้ขึ้นอีกนิด
จากนี้ไปจะเป็นของจริงแล้ว เข้าไปดูกันเลย! เส้นทางเดินหุบเขาดาคิกาเอริเป็นเส้นทางเดินเข้าออกทางเดียว และกว้างพอจะให้คนเดินสวนกันได้ ซึ่งเส้นทางเล็กๆ นี่เองที่เป็นที่มาของชื่อหุบเขา เพราะในอดีตเส้นทางนี้แคบมากจนตอนเดินสวนกันก็ต้องกอด (抱き, Daki) คนที่เดินสวนมาแล้วหมุนกลับตัว (返り, Kaeri) เพื่อให้ต่างคนต่างเดินผ่านไปได้นั่นเอง
ระหว่างทางเราจะได้เห็นวิวภูเขาที่กำลังค่อย ๆ กลายเป็นสีส้มแดงได้แบบใกล้ ๆ โดยที่ข้างล่างมีแม่น้ำสีน้ำเงินเข้มอมเขียวไหลผ่านเงียบ ๆ บอกเลยว่าตลอดระยะทางสั้น ๆ นี้ ต้องหยุดแวะถ่ายรูปทุก ๆ สิบเมตร เพราะแต่ละจุดมีมุมวิวสวยน่าถ่ายรูปตลอด
และพอเดินลึกเข้าไปจะเริ่มได้วิวเหนือแม่น้ำที่มีภูเขาขนาบข้างด้วย ลองนึกภาพดูว่าถ้าถึงช่วงพีคของฤดูใบไม้ร่วงล่ะก็ ที่นี่จะสวยขนาดไหนกัน!
เส้นทางนั้นถือว่าเดินง่ายมากเพราะไม่ได้มีช่วงที่เป็นทางชันเลย ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหินก้อนใหญ่ ๆ ฝังอยู่ตามพื้นดินบ้าง เพราะงั้นแนะนำให้ใส่รองเท้าที่เดินคล่อง ๆ มานะ หลังจากเดินไปถ่ายภาพไปพักใหญ่ ๆ ก็มาถึงไฮไลท์ของหุบเขาดาคิกาเอริ นั่นคือน้ำตกมิคาเอริ (見返りの滝, Mikaeri no Taki Falls)
ชื่อของน้ำตกแห่งนี้แปลตรง ๆ ได้ว่า “หันกลับไปมอง” ซึ่งก็สมชื่อจริง ๆ เพราะทันทีที่เดินลอดอุโมงค์มืด ๆ ออกไปแล้วเห็นน้ำตก ก็อยากหันกลับไปมองเรื่อย ๆ จนเกือบลืมใบไม้เปลี่ยนสีไปเลย ว่ากันว่าบางคนเห็นเงาผู้หญิงในชุดกิโมโนบนผิวน้ำตกด้วย ไม่ใช่ในเชิงน่ากลัวนะ ฮ่า ๆ ๆ แต่คล้าย ๆ กับการที่เราเห็นเงากระต่ายบนดวงจันทร์นั่นเอง ถามว่าท็อปกับคินในตอนนั้นเห็นเงาอะไรไหม? อ๋อเปล่าเลย มัวแต่ถ่ายรูปน้ำตกสวย ๆ จนลืมสังเกตว่าเห็นเป็นเงาอะไรบ้างหรือเปล่า เพราะน้ำตกมิคาเอริสวยมาก จะยืนถ่ายมุมไกลก็ดี หรือจะเข้าไปถ่ายใกล้ ๆ ก็ได้ความอลังการเหมือนกัน สมกับเป็นไฮไลท์ของหุบเขาดาคิกาเอริจริง ๆ
หุบเขาดาคิกาเอริ (抱返り渓谷, Dakigaeri Valley)
ที่อยู่ | Tazawako Sotsuda, Semboku, Akita 014-1113 Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | เปิด 24 ชั่วโมง |
ค่าเข้า | ฟรี |
การเดินทาง | นั่งแท๊กซี่ 12 นาทีจากสถานี JR Kakunodate |
คาคุโนะดาเตะ ย่านคฤหาสน์ซามูไร ฉายาเกียวโตน้อยแห่งโทโฮคุ
คาคุโนะดาเตะ (角館, Kakunodate) เป็นย่านคฤหาสน์ซามูไรที่ยังคงบรรยากาศย้อนยุคไว้เหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อนเปี๊ยบ และขึ้นชื่อเรื่องต้นชิดาเระซากุระ (枝垂桜, Shidare Sakura) หรือต้นซากุระพันธุ์กิ่งย้อยที่บานให้ชมกันทุกฤดูใบไม้ผลิ และเป็นดอกไม้ประจำเกียวโต ทำให้คาคุโนะดาเตะมีชื่อเล่นว่า “Little Kyoto แห่งโทโฮคุ” แน่นอนว่าคาคุโนะดาเตะมีชื่อเสียงมากในฐานะจุดชมซากุระในฤดูใบไม้ผลิ แต่พอถึงฤดูใบไม้ร่วง ผู้คนจะพากันกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อล่าวิวใบไม้เปลี่ยนสีในบรรยากาศเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของซามูไรอยู่
ระหว่างเดินเลียบไปตามถนน เราจะได้วิวต้นไม้สูงสีแดงส้มแซมเขียวนิด ๆ บางต้นมีกิ่งห้อยลงมาตัดกับรั้วไม้สีน้ำตาลดำของคฤหาสน์ซามูไรจนได้ Dynamic ที่น่าถ่ายภาพเก็บมาก
และถ้าเดินมองผ่าน ๆ ไปตามถนนยังไม่พอ ที่นี่ก็มีร้านค้าและคฤหาสน์ซามูไรที่เปิดให้เข้าไปแวะชมและถ่ายภาพบรรยากาศอาคารเก่า ๆ ใต้ต้นไม้ที่มีใบไม้เปลี่ยนสีได้ เช่นร้านขายเต้าเจี้ยวสูตรเก่าแก่ประจำถิ่น หรือคฤหาสน์ซามูไรอาโอยางิ (角館歴史村・青柳家, Aoyagi Samurai House) ที่นอกจากจะให้เราเข้าไปดูตามห้องต่าง ๆ ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ซามูไรแล้ว ยังมีพื้นที่สวนญี่ปุ่นให้เดินชมได้ด้วย
เสียดายที่ตอนเราไปถึงยังไม่มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมมากเท่าไหร่ แต่บอกได้ว่าถ้าถึงช่วงพีคของฤดูใบไม้ร่วงที่นี่ต้องสวยน่าเดินมาก ๆ แน่นอน เพราะในสวนของคฤหาสน์หลังอื่นมีต้นที่ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มต้นให้ชมกันบ้างแล้ว และขนาดต้นยืนเดี่ยวยังดูเด่นขนาดนั้น ถ้าต้นไม้ทั้งถนนเปลี่ยนสีหมดแล้วล่ะก็ ให้เดินถ่ายรูปเป็นช่วงโมงก็ยังไหว!
คาคุโนะดาเตะ (角館, Kakunodate)
ที่อยู่ | Kakunodatemachi, Semboku, Akita 014-0331 Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | เปิด 24 ชั่วโมง |
ค่าเข้า | ฟรี |
การเดินทาง | เดิน 15 นาทีจากสถานี JR Kakunodate |
มาอาคิตะก็ต้องกินนี่! อินานิวะอุด้ง 1 ใน 3 อุด้งที่อร่อยที่สุดของญี่ปุ่น
ตอนแรกที่เห็น หลายคนอาจจะสงสัยว่านี่อุด้งจริง ๆ ใช่ไหม? เพราะอินานิวะอุด้ง (稲庭うどん, Inaniwa Udon) เป็นอุด้งเส้นเล็กที่ผิดกับเส้นอ้วน ๆ ที่เราคุ้นเคยกัน แต่เรื่องความอร่อยนี่ของจริง! เพราะอินานิวะอุด้งถือเป็น 1 ใน 3 อุด้งตัวท็อปของญี่ปุ่น และในอดีตถือเป็นอาหารที่ชนชั้นสูงนิยมส่งเป็นของขวัญให้แก่กัน
และที่ไหนล่ะจะเหมาะกับการชิมอินานิวะอุด้งของดีจังหวัดอาคิตะยิ่งไปกว่าในคาคุโนะดาเตะ! ในย่านนี้มีร้านอาหารมากมายที่เสิร์ฟอินานิวะอุด้งอร่อย ๆ เช่นร้าน Kosendo (古泉洞) ที่มีอินานิวะอุด้งหลายแบบให้เลือกชิม โดยจะสั่งเป็นชามเดี่ยว ๆ หรือเป็นเซ็ตคู่กับเท็มปุระกรุบกรอบก็ได้ ซึ่งต่อให้เป็นแบบสั่งเดี่ยว ๆ ก็จะได้อินานิวะอุด้งชามใหญ่ร้อน ๆ หอมฉุยด้วยซุปดาชิมาเสิร์ฟตรงหน้า
เอาล่ะ ได้เวลาหักตะเกี๊ยบเป๊าะ พูดอิทาดาคิมัส แล้วก็ซู้ดดดดดดดดด อ้าว หมดชามแล้ว? เส้นเยอะขนาดนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่? จำได้ว่าคีบเส้นอุด้งเข้าปาก แล้วก็จำได้ว่าเส้นนุ่มลื่นคอมาก แทบไม่ต้องเคี้ยว แถมด้วยความที่เส้นเล็กทำให้ตอนสูดเราได้ซุปดาชิขึ้นมาเต็มปากเต็มคำกว่าอุด้งทั่วไปด้วย เพราะงั้นแน่เลย ถึงเผลอกินหมดไม่รู้ตัว ฮ่า ๆ ๆ ส่วนเห็ดที่อยู่ในซุปจะมีกลิ่นหอมนิด ๆ เคี้ยวกรุบ ๆ ช่วยเพิ่มสีสันให้กับเส้นอุด้งได้ ส่วนเท็มปุระนั้นกรอบมาก กัดทีได้ยินเสียงกร้วมกันทั้งโต๊ะ ยังไม่นับว่าชิ้นใหญ่จุใจด้วย ใครห่วงว่าจะกินแค่อุด้งแล้วไม่อิ่มก็สั่งคู่กับเท็มปุระได้เลย อร่อยและอิ่มชัวร์!
ที่สำคัญเลยคือถ้าอยากพกความอร่อยนี้กลับบ้าน ในร้านค้าต่าง ๆ ของจังหวัดอาคิตะ โดยเฉพาะในเมืองเซ็มโบคุก็มีเส้นอินานิวะอุด้งแบบแห้งให้ซื้อกลับไปลวกกันได้ด้วย! งานนี้คนรักอุด้งต้องมีกระเป๋าตังค์สั่นแล้วล่ะ
Kosendo (古泉洞)
ที่อยู่ | 9−9 Higashikatsurakucho, Kakunodatemachi, Semboku, Akita 014-0325 Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.00 – 14.30 น. (เปิดถึง 15.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์) (ไม่มีวันหยุด) |
การเดินทาง | เดิน 15 นาทีจากสถานี JR Kakunodate |
3. จังหวัดอาโอโมริ
มากันที่จังหวัดสุดท้ายของเรากันแล้ว นั่นคือจังหวัดอาโอโมริ และจังหวัดนี้คือที่ตั้งของหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดังที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ!
พิกัดวิวใบไม้เปลี่ยนสีจังหวัดอาโอโมริ
ปราสาทฮิโรซากิและ Fujita Memorial Garden บรรยากาศญี่ปุ่นและตะวันตกที่ลงตัว
ปราสาทฮิโรซากิ (弘前城, Hirosaki Castle) ตั้งอยู่ในเมืองฮิโรซากิ และนั่งรถแท๊กซี่จากสถานี JR Hirosaki ไปถึงได้ในเวลาแค่แป๊บเดียวเท่านั้น สวนปราสาทฮิโรซากิเป็นโลเคชั่นชมซากุระและใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมประจำจังหวัดเช่นเดียวกันกับคาคุโนะดาเตะของจังหวัดอาคิตะ เมื่อเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จากทางเข้าปราสาท เราจะเดินผ่านต้นไม้ร่มที่กำลังเริ่มทยอยเปลี่ยนสีให้เห็น เสียดายว่ามีเมฆฝนในตอนที่ไปถึง เลยไม่ได้รูปใบไม้เปลี่ยนสีกับท้องฟ้าใสเป็นฉากหลัง แต่ถึงอย่างนั้นใบไม้เปลี่ยนสีก็ยังสีสดสู้วันฟ้าเน่ามาก ๆ
ก่อนจะถึงปราสาท จุดหนึ่งที่แนะนำให้แวะถ่ายรูปเลยก็คือบนสะพานสีแดงที่เราจะได้วิวคูน้ำรอบปราสาทข้างล่างซึ่งตอนนี้มีใบไม้เปลี่ยนสีขนาบทั้งสองข้าง
ปราสาทฮิโรซากิเป็นปราสาทที่เดิมเคยมีทั้งหมดห้าชั้น แต่เคยถูกทำลายและถูกฟ้าผ่าจนปัจจุบันเหลือเพียงสามชั้นเท่านั้น เห็นเป็นปราสาทที่สวยสภาพดีขนาดนี้ แต่รู้ไหม? ปราสาทแห่งนี้คือที่เดียวในโทโฮคุที่ไม่ได้ถูกบูรณะสร้างใหม่ในยุคปัจจุบัน และนี่เองคือความพิเศษของปราสาทฮิโรซากิที่เรียกให้คนรักสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นและคอประวัติศาสตร์เดินทางมาเยี่ยมชมได้เสมอ
จากบนพื้นที่ของปราสาท เราจะเห็นวิวเมืองฮิโรซากิเบื้องล่างพร้อมกับภูเขาอิวากิที่อยู่ไกล ๆ และเห็นเป็นเงาลาง ๆ ในช่วงบ่ายแก่ ๆ แต่ถ้าเป็นช่วงกลางวันและในวันฟ้าแจ่มใสล่ะก็ วิวภูเขาอิวากิจะสวยกว่านี้อีกล้านเท่าเลยทีเดียว! โดยรวมแล้ว ถ้าเพื่อน ๆ เป็นคนชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และกำลังหาโลเคชั่นชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไปได้ง่าย ๆ และอยู่ในเมืองล่ะก็ ขอแนะนำสวนปราสาทฮิโรซากิเลย
ปราสาทฮิโรซากิ (弘前城, Hirosaki Castle)
ที่อยู่ | 1 Shimoshiroganecho, Hirosaki, Aomori 036-8356 Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 9.00-17.00 น. อาคารปราสาทปิด 24 พ.ย. – 31 มี.ค.แต่พื้นที่สวนไม่มีวันหยุด |
ค่าเข้า | โซนอาคารปราสาทฮิโรซากิ ผู้ใหญ่ 320 เยน เด็ก 100 เยน |
การเดินทาง | นั่งรถแท๊กซี่ 10 นาทีจากสถานี JR Hirosaki |
เว็บไซต์ | hirosakipark.jp |
แต่แถวนี้ไม่ได้มีแต่ปราสาทฮิโรซากิเท่านั้น แต่ยังมีอาคารทรงยุโรปมากมายกระจายอยู่รอบ ๆ ให้เวียนไปชมกันได้ ซึ่งน่าจะถูกใจคนชอบบรรยากาศแนวยุโรปมากทีเดียว สำหรับที่ที่ท็อปและคินไปมาก็คือ Fujita Memorial Garden (藤田記念庭園)
สวนบรรยากาศน่าเดินแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักจัดสวนในปีค.ศ. 1919 และมีเจ้าของเดิมคือฟุจิตะ เคนอิจิผู้เป็นชาวเมืองฮิโรซากิ และต่อมาเปิดให้เป็นพื้นที่สาธารณะในปีค.ศ. 1991 และถือเป็นสวนญี่ปุ่นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคโทโฮคุทีเดียว
พอเดินลอดรั้วไม้เข้าไปเราจะไปโผล่อยู่ในสวนญี่ปุ่นที่จัดวางตามภูมิทัศน์ของสวนให้เป็นธรรมชาติและสวยงาม ภายในสวนมีต้นไม้บางส่วนที่เปลี่ยนสีเรียบร้อยแล้ว มีตั้งแต่สีแดงชาด สีส้ม ไปจนถึงสีเหลืองทอง แต่ด้วยความที่ยังมีไม้ใบเขียวเหลืออยู่นี่เองที่ทำให้ดูรวม ๆ แล้วทั้งสวนมีสีสันสวยมากเหมือนภาพวาดของโมเน่ต์
และที่สายถ่ายรูปน่าจะชอบก็คือสวนนี้มีทั้งบ้านสไตล์ญี่ปุ่นและบ้านสไตล์ยุโรปตั้งอยู่ในที่เดียวกัน ดังนั้นไปที่นี่ที่เดียวก็เก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีทั้งในบรรยากาศญี่ปุ่นจ๋าและยุโรปคลาสสิกได้ในทริปเดียวเลย
Fujita Memorial Garden (藤田記念庭園)
ที่อยู่ | 8-1 Kamishiroganecho, Hirosaki, Aomori 036-8207, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | กลางเมษายน – พฤศจิกายน 9.00 – 17.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ |
ค่าเข้า | ชั้น 1 ของบ้านสไตล์ยุโรปเปิดให้เข้าฟรี ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมปลายขึ้นไป) 310 เยน เด็ก (นักเรียนประถมและมัธยมต้น) 100 เยน |
การเดินทาง | นั่งรถแท๊กซี่ 10 นาทีจากสถานี JR Hirosaki |
เว็บไซต์ | hirosakipark.or.jp |
ลำธารโออิราเสะ ทะเลสาบโทวาดะ ที่สุดของวิวใบไม้เปลี่ยนสีแห่งอาโอโมริ-อาคิตะ
ปิดท้ายแบบฟินาเล่กันด้วยที่สุดของจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในโทโฮคุ นั่นคือลำธารโออิราเสะ (奥入瀬渓流, Oirase Gorge) และทะเลสาบโทวาดะ (十和田湖, Towada Lake) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดอาโอโมริและจังหวัดอาคิตะ และถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ หลายคนนิยมเที่ยวทั้งลำธารและนั่งเรือชมทะเลสาบเพื่อเที่ยวให้เต็มคอร์ส
เราเริ่มกันที่ลำธารโออิราเสะแล้วเดินย้อนขึ้นลำธารไป ปกติแล้วถ้าพูดถึงฤดูใบไม้ร่วง หลายคนจะนึกถึงใบเมเปิ้ลสีส้มแดง แต่ป่าของลำธารโออิราเสะเป็นสีทอง! จะหันไปทางไหนก็มีแต่ใบไม้สีเหลืองอะร้าอร่ามเต็มไปหมด อาจจะต่างไปจากที่หลายคนนึกภาพไว้ แต่เป็นอีกเฉดสีของฤดูใบไม้ร่วงที่สวยจนรู้เลยว่าต้องอยากมาที่นี่อีกให้ได้แน่ ๆ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงจากรถ
ระหว่างเดินไปตามทางเดินชมธรรมชาติเลียบย้อนขึ้นไปตามลำธาร เราจะได้เห็นลำธารใสออกอมฟ้านิด ๆ ไหลผ่านให้ได้ฟังเสียงน้ำไปตลอดทาง โดยเหนือหัวมีต้นเมเปิ้ลและต้นไม้อีกสารพัดชนิดที่คอยโปรยใบไม้สีเหลือง ทอง และส้มลงมาเป็นครั้งคราว ต้องบอกก่อนว่าก่อนจะมาที่ลำธารโออิราเสะ ทั้งคินและท็อปเคยเห็นภาพลำธารโออิราเสะในฤดูใบไม้ร่วงมาหลายภาพมาก แต่ทั้งหมดนั้นเทียบกับของจริงไม่ได้เลยสักนิด จนบางทีก็สงสัยว่าต้องมีกล้องดีขนาดไหนถึงจะถ่ายลำธารที่นี่ให้ออกมาสวยได้สมศักดิ์ศรีจริง ๆ
พอเดินไปสักระยะจะมีจุดให้เราเดินข้ามสะพาน ซึ่งตอนนั้นเองที่เราจะได้จังหวะถ่ายรูปให้ดูเหมือนยืนอยู่กลางลำธาร และแน่นอนว่าเรามีเพื่อนร่วมทางหลายคนยืนแวะถ่ายรูปเหมือนกัน เพราะงั้นถ้าเดินติดกับกลุ่มคนเยอะ ๆ นี่จะเป็นช่วงที่ทุกคนพร้อมใจกันยืนเรียงบนสะพานเพื่อให้ได้วิวลำธารที่สวยที่สุดติดกล้องกลับบ้าน
นอกจากนี้ก็จะมีน้ำตกให้ถ่ายรูปเป็นช่วง ๆ ซึ่งบางน้ำตกก็จะทำได้แค่ถ่ายภาพไกล ๆ และบางอันก็มีเส้นทางให้เดินเข้าไปถ่ายรูปใกล้ ๆ ได้เช่นกัน
นอกจากบรรยากาศดีแล้ว บอกเลยว่าอากาศก็ดีมากเช่นกัน ให้ความรู้สึกเหมือนได้ฟอกปอดไม่ต่างกับตอนเดินเที่ยวคามิโคจิ แต่ที่น่าสนใจคืออากาศที่ลำธารโออิราเสะในฤดูนี้จะมีกลิ่นออกหวานดิน ๆ ไม้ ๆ เล็กน้อยเมื่อเทียบกับคามิโคจิ ซึ่งให้ความรู้สึกสมกับเป็นฤดูใบไม้ร่วงมากเลย
ลำธารโออิราเสะ (奥入瀬渓流, Oirase Gorge)
ที่อยู่ | 60 Okuse, Towada, Aomori 034-0301, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | เปิด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด |
ค่าเข้า | ฟรี |
การเดินทาง | นั่งรถบัส 2-3 ชั่วโมงจากสถานี JR Hachinohe หรือ JR Shichinohe-Towada |
หลังจากเดินสูดอากาศจนพอใจแล้ว ก็ได้เวลานั่งรถต่ออีกนิดเพื่อไปยังทะเลสาบโทวาดะ ซึ่งเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น และมีความลึกเป็นอันดับ 3 ของประเทศ
ที่นี่เราจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีอีกเฉดหนึ่งที่ต่างไปจากลำธารโออิราเสะ โดยภูเขาที่ล้อมรอบทะเลสาบโทวาดะจะมีสีส้มเข้มจนบางครั้งถ้ามองในแดดก็สีคล้ายทองแดงก็ว่าได้ สิ่งที่ทำให้วิวที่นี่สวยมากก็คือความที่สีแสดของใบไม้เปลี่ยนสีบนภูเขาตัดกับสีน้ำเงินเฉดไพลินของทะเลสาบโทวาดะ
แค่ยืนบนท่าเรือก็ว่าสวยจนตื่นเต้นแล้ว ยิ่งพอได้ขึ้นเรือชมวิวด้วยล่ะก็ บอกเลยว่ามีแต่กดชัตเตอร์กล้องรัว ๆ ยกเว้นบางครั้งที่ต้องเบรกไปหลบหนาว เพราะอากาศหนาวมากและลมแรงด้วย บรื๋อ
ระหว่างนั่ง หรือพูดให้ถูกคือเดินวนถ่ายรูปบนเรือ จะมีเสียงประกาศในเรือตลอดเวลาที่คอยแนะนำจุดที่เป็นไฮไลท์ของทะเลสาบโทวาดะให้ฟัง โดยบางจังหวะเรือจะแล่นใกล้เกาะกลางทะเลสาบและทิวต้นไม้ให้ซูมกล้องถ่ายสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีได้ชัดเต็มตา
หลังจากที่เรือพาข้ามฟากจาก Nenokuchi ไปยังจุดพักรถที่อยู่อีกฝั่งแล้ว เราจะมาถึงบริเวณที่มีสัญลักษณ์ประจำทะเลสาบโทวาดะ นั่นก็คือรูปปั้นหญิงสาว Otome no Zou (乙女の像) ซึ่งเป็นผลงานของทาคามุระ โคทาโร กวีและประติมากรชาวญี่ปุ่นที่ถูกมอบให้เป็นสมบัติของพื้นที่นี้เมื่อปีค.ศ. 1953 ในโอกาสครบรอบ 15 ปีของการก่อตั้ง Towada-Hachimantai National Park ที่ครอบคลุมทะเลสาบโทวาดะแห่งนี้นั่นเอง
ปัจจุบัน รูปปั้น Otome no Zou กลายเป็นสัญลักษณ์ของทะเลสาบโทวาดะไปแล้วก็ว่าได้ ระหว่างเดินจากท่าเรือไปยังรูปปั้น เราจะได้ชมวิวทะเลสาบโทวาดะจากชายฝั่งของทะเลสาบไปด้วยในตัว ถือว่าปิดคอร์สชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ลำธารโออิราเสะ-ทะเลสาบโทวาดะได้อย่างสวยงามเลย!
จุดจำหน่ายตั๋วเรือชมทะเลสาบโทวาดะ ฝั่ง Nenokuchi (遊覧船乗船券発売所)
ที่อยู่ | Towadakohannenokuchi-471 Okuse, Towada, Aomori 018-5501, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 9.00 – 17.00 น. ไม่มีวันหยุด |
ค่าตั๋ว | ผู้ใหญ่ 1,500 เยน เด็ก 750 เยน |
การเดินทาง | นั่งรถบัส 2-3 ชั่วโมงจากสถานี JR Hachinohe หรือ JR Shin-Aomori หรือ JR Shichinohe-Towada |
เว็บไซต์ | toutetsu.co.jp |
มาอาโอโมริก็ต้องกินนี่! นกเกะด้ง
ทุกคนรู้ โลกรู้ ว่าอาโอโมริขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลสดจากอ่าว แบบนี้จะพลาดได้ไง! แต่ไม่ เราจะไม่ได้ไปกินไคเซ็นด้ง (海鮮丼, ข้าวหน้าอาหารทะเล) ตามร้านอาหารญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป แต่เราจะมากันที่ Aomori Gyosai Center (青森魚菜センター) เพื่อชิมนกเกะด้ง (のっけ丼, Nokkedon) โดยเฉพาะ! นกเกะด้งคืออะไรบินได้ไหม? ไม่ ๆ นกเกะด้งคือเมนูข้าวหน้าปลา กุ้ง ไข่ปลา หอยเชลล์ และสารพัดอาหารทะเล ซึ่งจุดที่สนุกก็คือการที่เราเลือกเนื้อโปะข้าวได้ตามใจชอบ ! โดยขั้นแรกเราจะซื้อคูปองมาหนึ่งชุด ชุดละ 10 ใบ
จากนั้นก็แลกข้าวสวยร้อน ๆ มาถ้วยนึงแล้วเดินไปตามร้านต่าง ๆ เพื่อเอาคูปองไปแลกเนื้อปลาที่ชอบหน้าที่ใช่ ซึ่งคุณลุงคุณป้าที่เฟรนลี่ (แถมเชียร์ขายของเก่งมาก) ก็จะจัดเรียงเนื้อปลาลงบนถ้วยของเรา พอคูปองหมดเราก็จะได้นกเกะด้งเต็มชามมาพร้อมกิน!
เรื่องความสดใหม่นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะบรรดาปลากุ้งหอยที่วางขายตามร้านค้านั้นต่างถูกส่งตรงจากเรือประมง และ Aomori Gyosai Center แห่งนี้ก็เป็นตลาดสดที่ขึ้นชื่อเรื่องวัตถุดิบสดใหม่อยู่แล้วด้วย ด้วยความสดใหม่ทำให้ไม่ว่าจะคีบอะไรมากินก็หวานอร่อยหมด ทั้งกุ้งกรุบ ๆ ไข่ปลาดึ๋งดั๋ง ปลาซาบะหอมมัน และที่ยกให้เป็นนัมเบอร์วันของชามก็คือหอยเชลล์ที่เป็นของดีประจำจังหวัดอาโอโมริ และมัน-อร่อย-มาก! เพราะนอกจากจะชิ้นโตเต็มคำแล้ว ยังเคี้ยวหนุบหนับกำลังดีและหวานมาก ไม่คาวด้วย เพราะงั้นคนที่กลัวอาหารทะเลคาว ๆ หายห่วงได้เลย ยิ่งราดซอสโชหยุด้วยแล้วยิ่งอร่อย หรือต่อให้ราดไม่เยอะก็อร่อย! กว่าจะกินหมดชามก็ใช้คำว่า “อร่อย” ไปเปลืองมาก ถ้าจะมีเมนูไหนในจังหวัดอาโอโมริที่พิสูจน์ความสดใหม่และความอร่อยของรสชาติวัตถุดิบแบบเน้น ๆ ก็ต้องยกให้นกเกะด้งเลย! แค่นึกถึงก็หิวขึ้นมาอีกรอบแล้ว ช่วยด้วย ฮ่า ๆ ๆ
Aomori Gyosai Center (青森魚菜センター)
ที่อยู่ | 1 Chome-11-16 Furukawa, Aomori, 030-0862, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 7.00 – 16.00 น. (อาจปิดเวลา 15.00 น. หรือ 17.00 น. ตามแต่ละช่วงฤดู) หยุดทุกวันอังคาร |
ค่าคูปอง | 2,000 เยน (10 ใบ) |
การเดินทาง | เดิน 5 นาทีจากสถานี JR Aomori |
เว็บไซต์ | nokkedon.jp |
มาอาโอโมริก็ต้องกินนี่! แอปเปิ้ลอาโอโมริ อร่อยยืนหนึ่งในโทโฮคุและญี่ปุ่น
มาอาโอโมริทั้งทีจะไม่กินแอปเปิ้ลได้ยังไง! เพราะจังหวัดอาโอโมริเป็นจังหวัดที่ยืนหนึ่งเรื่องการผลิตแอปเปิ้ลในญี่ปุ่น จนถึงขั้นมีชื่อเล่นว่า “อาณาจักรแห่งแอปเปิ้ล” ทีเดียว และพอมาถึงอาโอโมริเราก็มีตัวเลือกเยอะมากว่าจะอร่อยกับแอปเปิ้ลแบบไหน แต่เรามาเริ่มกันที่แอปเปิ้ลสด ๆ เลยดีกว่า
ที่เมืองฮิโรซากิจะมีสวนแอปเปิ้ลมากมายให้เข้าไปเก็บแอปเปิ้ลกันได้ เช่นที่ Hirosaki Apple Park (弘前市りんご公園) โดยจะมีการกำหนดโควต้าว่าคนหนึ่งเก็บได้กี่ลูก และวันนี้สามารถเก็บแอปเปิ้ลพันธุ์อะไรได้บ้างในบรรดาแอปเปิ้ลหลากสีหลายแบบที่เห็นได้ทั่วทั้งสวน สำหรับตอนที่คินและท็อปไปนั้นเป็นช่วงของการเก็บโฮชิโนะคินคะ (星の金貨) แอปเปิ้ลสีทองสมชื่อ และเป็นสีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จนตอนแรกอาจจะเผลอคิดว่าเป็นสาลี่ด้วยซ้ำ ส่วนวิธีในการเลือกเด็ดแอปเปิ้ลก็คือให้เลือกลูกที่มีสีแดงเยอะหน่อย เพราะลูกนั้นจะหวาน พอได้คำใบ้ก็เริ่มเด็ดเลย! ซึ่งไม่ต้องหานานมาก เพราะที่นี่มีแอปเปิ้ลลูกโต ๆ น่ากินเพียบ
ในเรื่องของรสชาตินั้นบอกเลยว่าอร่อยมาก คิดว่าเป็นแอปเปิ้ลที่หวานที่สุดชนิดหนึ่งเท่าที่เคยกินมา และด้วยความที่ลูกใหญ่มากทำให้กินหมดลูกนึงทีก็อิ่มไปพักใหญ่ ๆ เลย ส่วนแอปเปิ้ลพันธุ์ไหนจะพร้อมให้เด็ดตอนเพื่อน ๆ มา ไว้มาลุ้นกันตอนมาเที่ยวกันนะ แต่บอกได้อย่างนึงเลยว่าจะพันธุ์ไหนก็อร่อยแน่นอน!
Hirosaki Apple Park (弘前市りんご公園)
ที่อยู่ | Terasawa-125 Shimizutomita, Hirosaki, Aomori 036-8262, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 9.00 – 17.00 น. ไม่มีวันหยุด |
ค่าเข้า | ฟรี ลูกแอปเปิ้ลที่เก็บได้จะคิดราคาตามน้ำหนัก |
การเดินทาง | นั่งรถแท๊กซี่ 15 นาทีจากสถานี JR Hirosaki |
เว็บไซต์ | hirosaki.aomori.jp |
อร่อยกับแอปเปิ้ลสด ๆ แล้ว ได้เวลามาลองแบบอื่นกันบ้าง เช่นพายแอปเปิ้ล ซึ่งเมืองฮิโรซากิมีพายแอปเปิ้ลหลายแบบของหลากร้านค้าให้เลือกชิม ขนาดว่ามีไกด์แมปสำหรับนักชิมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวทีเดียว
และที่หนึ่งที่เราจะได้อร่อยกับพายแอปเปิ้ลแถมได้บรรยากาศดี๊ดีก็คือที่ Taishō Roman Tea Room (大正浪漫喫茶室) คาเฟ่บรรยากาศห้องน้ำชาสไตล์ตะวันตกใน Former Fujita Family Villa Western Style House (旧藤田家別邸 洋館) ที่จะมีห้องโต๊ะริมหน้าต่างให้เราชมสวนญี่ปุ่นที่ถูกจัดอย่างสวยงามได้พลางจิบกาแฟหรือชาหอม ๆ สักถ้วยและตักพายหวาน ๆ ชิ้นโตเข้าปาก
ลำพังที่นี่ก็มีเมนูพายแอปเปิ้ลให้เลือกกันได้ถึง 9 เมนูแล้ว โดยสามารถสั่งเดี่ยว ๆ ก็ได้ หรือจะสั่งเป็นเซ็ทคู่กับกาแฟก็ได้ แน่นอนว่าท็อปและคินที่มีคำขวัญประจำใจว่าทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยกาแฟก็ต้องสั่งกาแฟ สำหรับพายที่จิ้มเลือกมานั้นได้แก่ Nice Life พายแบบเย็นที่แป้งบาง ๆ และมีไส้เยลลี่และเนื้อแอปเปิ้ลชิ้นโต ๆ กับ Le Castle Factory พายอบร้อนแป้งกรอบ ๆ เนื้อแอปเปิ้ลหวานชุ่ม ๆ
โดยพายทั้งสองจะมีลูกเล่นนิดนึงคือมีกลิ่นหอมอบเชยซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งช่วยดึงความหอมของแป้งและความหวานของแอปเปิ้ลออกมาได้ชนิดที่ตักเข้าปากแล้วอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้เลย และถ้ามีเวลาล่ะก็คงจะนั่งสั่งแอปเปิ้ลมาชิมให้หมดทุกเมนูเท่าที่ร้านมีแล้ว
Former Fujita Family Villa Western Style House (旧藤田家別邸 洋館)
ที่อยู่ | 8-1 Kamishiroganecho, Hirosaki, Aomori 036-8207, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 9.00 – 16.30 น. ไม่มีวันหยุด |
การเดินทาง | นั่งรถแท๊กซี่ 10 นาทีจากสถานี JR Hirosaki |
ปิดท้ายกันด้วยเมนูสดชื่นล้างปากกันบ้าง โดยที่ A-Factory ศูนย์จำหน่ายของฝากจังหวัดอาโอโมรินั้นรวมสินค้าทำจากแอปเปิ้ลและของขึ้นชื่ออื่น ๆ ของจังหวัดไว้เพียบให้เลือกซื้อกัน แต่นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีร้าน gelato natura due ที่เสิร์ฟเจลาโต้ทำจากแอปเปิ้ลพันธุ์ต่าง ๆ ที่ตู้กระจกจะมีป้ายบอกระดับความหวานและความเปรี้ยวของเจลาโต้แต่ละรสไว้ ช่วยให้เลือกได้ง่ายขึ้นมากเลย!
เนื้อเจลาโต้จะเป็นเนื้อน้ำแข็งเกล็ด ๆ สีพาสเทลน่ารักแต่พกความอร่อยของแอปเปิ้ลมาเต็มที่! สำหรับเจลาโต้ที่เลือกกันนั้นได้แก่รสฟุจิ Jonagold ซันสะ และอากาเนะ
ตอนที่ได้ถ้วยมานั้น บอกตามตรงว่าจำไม่ได้ว่าอันไหนเป็นรสไหนบ้าง แต่รู้ว่าอร่อยมาก เนื้อเจลาโตจะเบา ๆ และหอมหวานสดชื่นมาก เหมาะกับกินหลังเดินมาเหนื่อย ๆ หรือกินล้างปากหลังอร่อยกับอาหารมามาก ๆ
กินเจลาโต้แล้ว ถ้าเป็นสายดื่มก็เชิญขึ้นชั้นสองของ A-Factory เลย ที่นี่จะมีมุมให้ชิม Apple Cider 4 ตัวที่เป็นสินค้าตัวตึงประจำที่นี่ หลังจากซื้อบัตรเติมเงินที่ร้านอาหารข้าง ๆ ก็เสียบบัตรที่ตู้แล้วกดตัวที่สนใจเพื่อชิมได้เลย โดยมูลค่าบัตรจะพอสำหรับชิมทั้ง 4 ตัวแบบตัวละช็อตพอดี และมีตั้งแต่ Aomori Cider Sweet – Standard – Dry – Brut ที่ไล่ตั้งแต่แบบดื่มง่ายจนถึงแบบที่รสชาติเข้ม
ส่วนตัวแล้ว ทั้งท็อปและคินลงความเห็นตรงกันว่าชอบแบบที่เข้มขึ้นมาหน่อยเพราะมีโซดาน้อยทำให้ได้กลิ่นและรสของแอปเปิ้ลในเครื่องดื่มได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบอะไรดื่มง่ายก็ขอแนะนำ Sweet – Standard แถมถ้าถูกใจตัวไหนก็ลงไปซื้อที่ชั้น 1 ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งที่ให้เราหิ้วสารพัดของกินของอร่อยที่ทำจากแอปเปิ้ลอาโอโมริกลับบ้านได้ แต่ต้องใจแข็งนิดนึงนะ เพราะที่นี่ของน่าซื้อเยอะมากจริง ๆ
A-Factory
ที่อยู่ | 1 Chome-4-2 Yanakawa, Aomori, 038-0012, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 10.00 – 19.00 น. ไม่มีวันหยุด |
การเดินทาง | เดิน 2 นาทีจากสถานี JR Aomori |
เว็บไซต์ | jre-abc.com |
ยังหิวอยู่ไหม? แวะจังหวัดอิวาเตะเลย
สำหรับใครที่หิวระหว่างนั่งรถไฟชินคันเซ็นเที่ยวโทโฮคุ และบังเอิ๊ญญญผ่านแถว ๆ จังหวัดอิวาเตะพอดี ก็แวะที่เมืองโมริโอกะได้เลย เพราะว่าที่นี่มีสองเมนูอาหารเส้นชื่อดัง นั่นคือโมริโอกะเรเมง และวังโกะโซบะ
โมริโอกะเรเมง (盛岡冷麺, Morioka Reimen) เป็นอาหารเส้นเสิร์ฟเย็น ๆ โดยมีเส้นเรเมงที่เนื้อออกแข็งนิด ๆ แต่เคี้ยวสนุก ท็อปปิ้งด้วยผักและเนื้อ ราดซอสหวานเค็มขลุกขลิก และสามารถเลือกได้ว่าจะเอาแบบแยกพริก หรือใส่พริกเยอะเท่าไหร่ แต่จากที่คินซึ่งเป็นคนไม่กินเผ็ดชิมมา เผ็ดของโมริโอกะเรเมงคือเผ็ดทิพย์ กล่าวคือไม่เผ็ดเลย
และแน่นอน ขึ้นชื่อว่าเป็นที่ญี่ปุ่นแล้ว โมริโอกะเรเมงเสิร์ฟมาในชามที่ใหญ่มาก อาจจะใหญ่และเยอะไปสำหรับคนที่ท้องไม่หิวมาก แต่สำหรับคนที่หิวจัด ๆ เมนูนี้แหละเอาอยู่ และอร่อยจนจริง ๆ แล้วถ้ามีแค่เส้นกับซอสก็เลิศแล้ว แถมถ้าจับคู่กับเนื้อย่างร้อน ๆ ล่ะก็ยิ่งฟิน
Pyon-Pyon-Sha (ぴょんぴょん舎)
ที่อยู่ | 9-3 Moriokaekimaedori, Morioka, Iwate 020-0034, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.00 – 22.00 น. ไม่มีวันหยุด |
การเดินทาง | เดิน 4 นาทีจากสถานี JR Morioka |
เว็บไซต์ | pyonpyonsya.co.jp |
อีกเมนูขึ้นชื่อก็คือวังโกะโซบะ (わんこそば, Wanko Soba) โซบะที่ใคร ๆ ที่มาอิวาเตะต่างต้องมาท้าพิสูจน์ขีดจำกัดของตัวเองกันสักครั้ง
วังโกะโซบะเป็นเมนูที่พนักงานจะเสิร์ฟโซบะให้เราทีละถ้วย (ถ้วยหนึ่งจะมีปริมาณเท่ากับโซบะหนึ่งคำพอดี) พร้อมพูดว่า “ไฮ่ จังจัง ไฮ่ ดงดง (เอ้า กินเข้าไป ๆ เอ้ากินอีก ๆ )” เพื่อเชียร์ให้เรากินเข้าไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวช่วยนั้นมีเช่นสาหร่าย เนื้อปลา วาซาบิ และผักดองที่ช่วยตัดรสชาติไม่ให้เลี่ยนโซบะ
แต่ของแบบนี้มันต้องรีบกินก่อนที่กระเพาะจะทันรู้ตัวว่าอิ่ม เพราะงั้นคินที่ตั้งเป้าว่าจะกินให้ถึง 100 ถ้วยเลยไม่ได้แตะเครื่องเคียง ถามว่าสถิติท็อปกับคินอยู่ที่เท่าไหร่? ท็อปหยุดที่ 45 ถ้วยและคินจอดที่ 66 ถ้วยซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเพราะได้ถ้วยที่มีแต่โซบะคำใหญ่ ๆ ตัดกำลังในช่วงท้ายทำให้จุกไปซะก่อน ดังนั้นทั้งสองเลยอดได้ป้ายไป เพราะถ้ากินครบ 100 ถ้วย ทางร้านจะให้ป้ายไม้เป็นที่ระลึกว่ากินครบ 100 ถ้วยเป็นของขวัญ (หรือต่อให้กินไม่ครบ ก็ซื้อป้ายไม้ที่ว่านี้กลับไปเองได้เช่นกัน ใช้เงินแก้ปัญหา) สำหรับสถิติที่มากที่สุดนั้น ท็อปกระซิบถามพนักงานมา และได้ข้อมูลว่าผู้ชายอยู่ที่ 450 ถ้วย ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ 500 ถ้วย! ถ้าเพื่อน ๆ มาอิวาเตะลองมาท้าทายตัวเองกันดูนะ!
Azumaya (そば処 東家)
ที่อยู่ | 8-11 Morioka-ekimae Building 2nd Floor, Moriokaekimaedori, Morioka, Iwate 020-0034, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.00 – 15.00 น. และ 17.00 – 20.00 น. ไม่มีวันหยุด |
การเดินทาง | เดิน 2 นาทีจากสถานี JR Morioka |
เว็บไซต์ | wankosoba.jp |
อยากเที่ยวถ่ายรูปและตระเวนกินให้ได้แบบนี้? เรามีตัวช่วย!
เห็นท็อปกับคินตระเวนเที่ยวโทโฮคุแบบนี้ แถมถ้าดูแผนที่แล้วจะเห็นว่าโทโฮคุเป็นภูมิภาคที่กว้างมาก น่าจะใช้พลังงานและงบไปกับการเดินทางพอตัวอยู่ ขอบอกว่าไม่เลยจ้า เพราะเรามีตัวช่วยอย่าง JR EAST PASS (Tohoku area) ซะอย่าง! ตั๋วราคา 30,000 เยนนี้เป็นตั๋วพิเศษเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆ ที่ให้ผู้ถือสามารถนั่งรถไฟและชินคันเซ็นในเครือ JR East ได้ไม่จำกัดจำนวนรอบตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน จะนั่งไปไหนในโทโฮคุเยอะขนาดไหนก็อยู่ในงบ 30,000 เยนนี้เลย ซึ่งถือว่าคุ้มมาก เพราะลำพังค่ารถไฟชินคันเซ็นจาก JR Tokyo ไป JR Morioka เพียงขาเดียวก็ราคาเริ่มต้นที่ 13,960 เยนแล้ว
แถมเรายังใช้ตั๋วนี้จองที่นั่งบนรถไฟชินกันเซ็นล่วงหน้า 1 เดือนได้ฟรีผ่าน JR-EAST Train Reservation อีกด้วย งานนี้ท็อปกับคินเลยจองตั๋วจากที่ไทยให้เรียบร้อย พอถึงที่ญี่ปุ่นก็รับตั๋วแล้วเดินทางได้เลยแบบไม่ต้องคอยซื้อตั๋วไปขึ้นรถไฟไป
JR EAST PASS (Tohoku area)
ราคา | ผู้ใหญ่ 30,000 เยน, เด็ก (อายุ 6-11 ปี) 15,000 เยน |
ระยะเวลาการใช้ตั๋ว | 5 วันติดกัน (ขึ้นรถไฟได้ไม่จำกัดรอบ) |
พื้นที่ที่ใช้ตั๋วได้ | ภูมิภาคโทโฮคุ 6 จังหวัด และ ภูมิภาคคันโต รวมถึง GALA Yuzawa ในฤดูสกี |
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมและซื้อตั๋วได้ที่ Official Website | jreast.co.jp |
ขอบคุณ ZIPAIR ผู้สนับสนุนการเดินทางจากประเทศไทยสู่กรุงโตเกียว
ZIPAIR เป็นสายการบินราคาประหยัด (LCC-Low Cost Carrier) ระดับพรีเมียมในเครือ Japan Airlines (JAL) ที่เริ่มให้บริการครั้งแรกเมื่อประมาณกลางปี 2020 แม้เป็นสายการบินแบบ LCC แต่คุณภาพบริการและความสะดวกสบายของ ZIPAIR ที่ทัดเทียมกับ JAL ทำให้ ZIPAIR เป็นทางเลือกชั้นเยี่ยมสำหรับใครที่กำลังมองหาการเดินทางไปญี่ปุ่นในราคาประหยัด
จุดเด่นหลัก ๆ ของสายการบิน ZIPAIR ที่ทำให้แตกต่างจากสายการบิน LCC ทั่วไป
1. มี Internet Wi-fi ให้ใช้ตลอดการบิน
2. ที่นั่ง standard กว้างนั่งสบาย มีฟังก์ชั่นหลากหลาย
3. ชำระเงินระบบ Cashless
4. Full-Flat Seat ที่ปรับนอนได้ แถมเป็นส่วนตัวสุด ๆ
5. อาหารบนเครื่องมีให้เลือกหลากหลาย รสชาติอร่อย
ตารางบินเส้นทาง กรุงเทพฯ – นาริตะ
ขาไป: กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – โตเกียว (นาริตะ) 23:10-7:25(+1)
ขากลับ: โตเกียว (นาริตะ) – กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) 17:00-21:45
*มีเที่ยวบินทุกวัน