นากาโนะ เป็นจังหวัดที่ขึ้นเรื่องผักภูเขาและอาหารที่เฮลตี้แถมยังอร่อย จนหลายคนสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นความลับเบื้องหลังความอายุยืนของคนนากาโนะกันนะ? เพราะถ้าอาหารอร่อยซะอย่าง มีหรือจะหนีไปกินอย่างอื่น? และบทความนี้จะพาทุกคนไปดูลิสต์ 6 ของอร่อยที่ห้ามพลาดของนากาโนะกัน!
คำเตือน ไม่แนะนำให้อ่านบทความนี้ตอนท้องว่างหรือดึก ๆ นะ
1. ไก่ทอดซันโซคุยากิ กรอบอร่อยเครื่องเทศเต็มคำ ไม่ต้องกลัวเลี่ยน
มาเริ่มต้นกันด้วยของเรียกน้ำย่อย นั่นคือไก่ทอดซันโซคุยากิ (山賊焼, Sanzoku Yaki) ที่เป็นของอร่อยประจำเมืองมัตสึโมโตะกัน ซึ่งถ้าลงรถไฟที่สถานี JR Matsumoto (松本駅) และเดินผ่านแถวร้านอาหารล่ะก็จะได้กินไก่ทอดหอมโชยมาจูงจมูกให้เข้าร้านกันทีเดียว ใครจะเดินผ่านหน้าร้านได้โดยไม่แวะซื้อถือว่าต้องใจแข็งมาก
ไก่ทอดซันโซคุยากิเป็นเมนูที่นำส่วนน่องหรืออกของไก่มาปรุงรสด้วยโชยุที่ผสมกระเทียม ขิง และเครื่องเทศอื่น ๆ จากนั้นนำไปคลุกด้วยแป้งมันฝรั่งก่อนจะนำไปทอด แค่นี้ก็ฟังดูน่ากินแล้ว!
ไก่ทอดซันโซคุยากินั้นมาในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอดแบบชิ้น ๆ ขายร้อน ๆ ให้ถือกินระหว่างเดินเที่ยวได้ หรือจะเป็นเมนูเซ็ตข้าวตามร้านอาหาร รวมถึงเอกิเบ็นให้ถือขึ้นไปอร่อยกันบนรถไฟได้ในปริมาณอิ่มจุก ๆ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหน อย่างเดียวที่ไม่ต่างกันเลยก็คือความกรอบอร่อยเหมือนเพิ่งขึ้นมาใหม่ ๆ จากกระทะ ซึ่งแป้งข้างนอกจะกรอบเบารวมถึงเนื้อชุ่มน้ำซุปที่นุ่มมาก ที่สำคัญเลยคือไม่เลี่ยนอย่างไม่น่าเชื่อ และสามารถทานได้แบบไม่ต้องใช้ซอสอะไรมาช่วยเพิ่มหรือตัดรสชาติเลย ถ้ามาเที่ยวที่เมืองมัตสึโมโตะหรือเดินเล่นที่คามิโคจิล่ะก็ห้ามพลาดเลย!
Matsumoto Karaage Center (松本からあげセンター)
ที่อยู่ | 4th Floor, MIDORI 1-1 Chome, Fukashi Matsumoto, Nagano 390-0815 Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.30 – 19.30 น. |
การเดินทาง | ลงรถไฟสถานี JR Matsumoto แล้วไปที่ชั้น 4 ร้านตั้งอยู่บริเวณโซนร้านอาหาร |
เว็บไซต์ | karacen.com |
2. เซโรมุชิ เมนูสุดเฮลตี้ อร่อยเหมือนคุณย่าคุณยายทำ
เซโรมุชิ (せいろ蒸し, Seiro Mushi) เป็นอาหารนึ่งที่นำวัตถุดิบต่างๆ ไปนึ่งในซื้งไม้ไผ่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และหนึ่งในที่ที่เราจะได้ชิมเซโรมุชิที่อร่อยที่สุดในนากาโนะก็คือร้าน Yayoiza (門前茶寮 弥生座) ร้านอาหารบรรยากาศย้อนยุคที่อยู่หน้าทางเข้าวัดเซ็นโคจิ (善光寺, Zenkoji) ในย่านเมืองนากาโนะ
ร้าน Yayoiza เปิดขึ้นเมื่อปี 1995 เป็นร้านที่นำวัตถุดิบท้องถิ่นนากาโนะรวมถึงวัตถุดิบตามฤดูกาลมาปรุงเป็นอาหารที่ให้ผู้ชิมได้รับรู้ถึงความอร่อยของทั้งอาหารท้องถิ่นที่สืบทอดกันมา อาหารมังสวิรัติของวัดเซ็นโคจิ และอาหารทั่วไปในชีวิตประจำวันของคนนากาโนะ นอกจากความเป็น Slow Food แล้ว ตัวร้านที่เป็นบ้านไม้เก่าแก่ยังให้บรรยากาศ Slow Life ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านคุณย่าคุณยายชาวญี่ปุ่นในชนบท และสะท้อนถึงความหมายเบื้องหลังชื่อของร้าน Yayoiza
โดย Yayoi (弥生, ยาโยอิ) เป็นชื่อยุคที่เชื่อกันว่าผู้คนได้เริ่มเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่หุบเขาแห่งนี้กัน ส่วน Za (座, สะ) หมายถึงที่นั่ง ซึ่งรวมถึงที่นั่งที่ผู้คนมารวมตัวพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน กลายที่มาของชื่อ Yayoiza ที่แฝงถึงเรื่องราวที่มาตั้งแต่อดีตของสถานที่แห่งนี้และความตั้งใจที่จะเป็นพื้นที่ของชุมชนที่ผู้คนมาใช้เวลาร่วมกันนั่นเอง
ร้าน Yayoiza มีเมนูเซโรมุชิให้เลือกมากมาย ทั้งเนื้อวัวชินชู (信州牛) กุ้ง ปลาไหล และหมูเป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะมาพร้อมกับผักสดๆ คัดพิเศษจากท้องถิ่นนากาโนะ ข้าวเหนียวห่อใบไม้ ไข่ตุ๋น ซุปมิโซะ และซอสสำหรับจิ้ม สำหรับเมนูที่เราเลือกชิมนั้นคือ Monzen Seiro Mushi (門前せいろ蒸し) ที่ประกอบด้วยเนื้อวัวชินชู ผัก ข้าวเหนียว และไข่ตุ๋น
เมื่อสั่งแล้วคุณป้าเจ้าของร้านจะจัดวางวัตถุดิบต่าง ๆ ลงในซึ้งไม้ไผ่แล้วนำไปนึ่ง วิธีนี้ทำให้นึ่งได้หลาย ๆ ชั้นพร้อมกัน และมากสุดได้ถึง 10 ชั้นทีเดียว เมื่อนึ่งเสร็จรอบหนึ่งซึ้งนึ่งจะถูกสลับจากอันบนสุดลงมาล่างสุดเพื่อให้ทุกอันสุกเท่ากัน ระหว่างสลับเราจะได้เห็นอาหารของเราแว๊บ ๆ พร้อมกลิ่นผักนึ่งหวาน ๆ หอม ๆ เรียกน้ำย่อยด้วย
พออาหารมาเสิร์ฟถึงที่ก็หิวพอดีเลย ส่วนตัวเราเริ่มที่ซุปมิโซะก่อนเพื่อแก้หนาว ซึ่งซุปมิโสะนั้นใช้มิโซะแดงทำให้ได้รสชาติที่เข้มเป็นพิเศษเหมาะกับวันฝนตกอากาศหนาวอย่างวันนี้ ตามด้วยผักสดและเห็ดที่นึ่งจนเนื้อนุ่มและหวานมากจนไม่ต้องจิ้มซอสช่วยก็อร่อยได้ โดยเฉพาะฟักทองและแครอท ส่วนเนื้อวัวชินชูเองก็มาเป็นชิ้นแล่ใหญ่ ๆ ที่ทานได้เต็มปากเต็มคำ และเมื่อยิ่งจิ้มซอสที่ช่วยดึงรสอุมามิออกมาก็อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับข้าวเหนียวในเซ็ตนั้นเป็นข้าวเหนียวที่นุ่มและอุ้มน้ำเยอะกว่าข้าวเหนียวไทยที่เราคุ้นเคยกัน ตบท้ายด้วยไข่ตุ๋นที่นุ่มมากชนิดละลายในปาก
ที่พิเศษคือด้วยความที่ใช้ซึ้งไผ่นึ่ง ทำให้อาหารทั้งหมดนี้มีกลิ่นหอมไผ่จาง ๆ อยู่ด้วย เห็นถาดใหญ่ขนาดนี้แต่ทั้งหมดนี้เป็นมื้อที่อิ่มกำลังดีทีเดียว ยิ่งพอปิดท้ายด้วยไอศกรีมโฮมเมดของทางร้านด้วยล่ะก็ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่
ใครกำลังมองหาอาหารที่ให้เราอร่อยกับรสชาติแท้ของวัตถุดิบท้องถิ่น แถมเฮลตี้และได้นั่งในบรรยากาศร้านย้อนยุคสบายๆ ล่ะก็ เราขอแนะนำที่นี่เลย
Yayoiza (門前茶寮 弥生座)
ที่อยู่ | 503 Nagano, 380-0841, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.30 – 14.00 น. / 17.00 – 20.00 น. |
การเดินทาง | จากสถานี JR Nagano นั่งรถบัส 15 นาทีลงที่ป้าย Zenkoji Daimon (善光寺大門) ค่ารถบัส 190 เยน จากนั้นเดินอีกไม่ถึง 1 นาที |
เว็บไซต์ | yayoiza.jp |
3. ผลไม้นากาโนะ ของดีประจำจังหวัด
ความลำบากใจหนึ่งของการกินผลไม้ของนากาโนะคือจะหาผลไม้อร่อยแบบนี้ที่อื่นได้ยากแน่นอน เพราะจังหวัดนี้มีผลไม้ที่อร่อยมากจนให้กินเป็นกิโล ๆ ก็คิดว่าไหว ซึ่งผลไม้ตัวตึงของจังหวัดที่เราขอยกขึ้นมาในบทความนี้ก็คือแอปเปิ้ลชินชู (信州りんご, Shinshu Apple) และองุ่น Shine Muscat (シャインマスカット)
เริ่มกันที่แอปเปิ้ลชินชู ซึ่งถ้าจะให้อร่อยแบบสุดๆ ก็ต้องแอปเปิ้ลที่เพิ่งเด็ดจากต้นเท่านั้น และในจังหวัดมีสวนแอปเปิ้ลหลายแห่งให้เลือกเข้าไปเก็บแอปเปิ้ลได้มากเท่าที่ต้องการในเวลาที่กำหนด สำหรับสวนที่เราไปมาคือ Nakajo Fruits Farm ในเมืองสุซากะ (須坂市, Suzaka City) ซึ่งว่ากันว่าเป็นฟาร์มแห่งแรกที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเก็บแอปเปิ้ลได้
แอปเปิ้ลที่สต๊าฟของฟาร์มแนะนำให้เก็บคือลูกที่มีสีออกแดงหน่อยซึ่งจะมีรสชาติหวาน ส่วนตอนเด็ดให้จับที่ลูกแอปเปิ้ลแล้วบิดขึ้นด้านบนจะทำให้แอปเปิ้ลหลุดจากขั้วได้ง่ายและไม่ทำให้ต้นไม้เสียหายด้วย แอปเปิ้ลที่เด็ดได้นั้นมีแต่ลูกใหญ่ ๆ หนัก ๆ ทั้งนั้นและผิวเรียบสวยมากด้วย พอเด็ดได้จนครบเวลาแล้วก็นำแอปเปิ้ลในตะกร้าไปชั่งน้ำหนักเพื่อคิดราคา หลังจากจ่ายตังค์เรียบร้อยก็กินได้เลย!
ถ้าเพื่อน ๆ ชอบรสชาติแนว ๆ แอปเปิ้ล Jazz ล่ะก็จะต้องชอบแอปเปิ้ลชินชูแน่นอน เพราะแอปเปิ้ลชินชูมีรสหวานนำอมเปรี้ยวนิด ๆ ในแบบที่หลายคนชอบ พร้อมเนื้อแอปเปิ้ลกรอบกรุบ ๆ เคี้ยวเพลิน เห็นลูกใหญ่เท่าหน้าแบบนี้ แต่พอกัดเข้าไปคำนึงเผลอแป๊บเดียวก็กินหมดลูกจนเพื่อนข้าง ๆ ถามว่าเคี้ยวก่อนกลืนบ้างไหม แต่นี่แหละคือพลังความอร่อยของแอปเปิ้ลชินชูที่เพิ่งเก็บมาใหม่ ๆ จากต้น ถ้าเพื่อน ๆ ใฝ่ฝันถึงแอปเปิ้ลลูกใหญ่ๆ หวานกรอบอร่อยเคี้ยวสนุกล่ะก็ มาที่นากาโนะกันได้เลย
Nakajo Fruits Farm (中条フルーツ農場)
ที่อยู่ | 3750 Ogawara, Suzaka, Nagano 382-0071, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 8.30-17.30 น. |
การเดินทาง | จากสถานี Obuse นั่งแท๊กซี่ประมาณ 7 นาที |
เว็บไซต์ | fruitsland.co.jp |
อีกผลไม้หนึ่งของจังหวัดที่อยากแนะนำก็คือองุ่น Shine Muscat ที่ดังพอ ๆ กับองุ่นเคียวโฮ (巨峰葡萄, Kyoho) และอร่อยไม่แพ้กัน
นอกจากผลองุ่นที่ใหญ่พอ ๆ กับลูกปิงปองแล้ว องุ่น Shine Muscat มีจุดเด่นคือรสชาติที่หวานสะใจและไม่มีรสเปรี้ยวหรือรสฝาดที่เปลือกปนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเพื่อน ๆ ที่ไม่ชอบองุ่นเปรี้ยว ๆ ฝาด ๆ ก็อร่อยกับ Shine Muscat ทั้งพวงได้แบบไม่ต้องกลัวหวยออกรสเปรี้ยวฝาดที่ลูกไหนเลย ในส่วนของรสสัมผัสนั้น ส่วนตัวรู้สึกว่า Shine Muscat จะใกล้เคียงกับเยลลี่ที่เนื้อออกหนึบหน่อย ซึ่งจะต่างกับเนื้อคล้ายเยลลี่กรุบ ๆ ขององุ่นที่เราคุ้นเคย อ้อ ที่สำคัญคือไม่มีเมล็ดด้วยนะ!
ด้วยเนื้อคล้ายเยลลี่และรสชาติหวานอร่อยแบบไม่ต้องใช้อะไรช่วย ความอร่อยนี้เองที่ทำให้ Shine Muscat ถูกใช้ในขนมหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นคือไดฟุกุของร้าน N vintage coffee ร้านคาเฟ่ใจกลางเมืองนากาโนะที่ใช้ผลองุ่น Shine Muscat ทั้งลูกมาเป็นไส้ ปกติเราจะชินกับไดฟุกุไส้ถั่วแดง ชาเขียว ไม่ก็ไส้สตรอว์เบอรี่ เลยเป็นปกติที่เราจะคิดว่ารสชาติของไส้ไดฟุกุก็คงไม่พ้นแนว ๆ นี้ แต่ไดฟุกุไส้ Shine Muscat เป็นอะไรที่แปลกใหม่มากและเปิดโลกเลยว่าเนื้อไดฟุกุเหนียวนุ่มและองุ่นลูกใหญ่หนึบ ๆ หวานเจี๊ยบจะจับคู่กันแล้วเวิร์คขนาดนี้ นอกจากองุ่น Shine Muscat แล้ว N vintage coffee ยังมีไดฟุกุไส้ผลไม้อื่น ๆ อีกมากให้เลือกชิมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นส้มที่มาทั้งลูกอีกเหมือนกัน สตรอว์เบอรี่ที่เราคุ้นเคย กีวี่ หรือที่แปลกตาหน่อยคือเมลอนและสับปะรดเป็นต้น!
โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าเพื่อน ๆ จะชอบอร่อยกับตัวผลไม้เน้น ๆ หรือชอบแบบในขนมต่าง ๆ ที่นี่คือที่หนึ่งที่บรรดาคนรักผลไม้ต้องมาให้ได้เลย
N vintage coffee
ที่อยู่ | 2 Chome-2-1 Minamichitose, Nagano, 380-0823, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.00 – 19.00 น. |
การเดินทาง | จากสถานี JR Nagano เดิน 4 นาที |
เว็บไซต์ | N vintage coffee Fanpage |
4. เนื้อวัวชินชู ของอร่อยระดับพรีเมี่ยมของนากาโนะ
สตาร์ทที่อาหารเบา ๆ กันแล้ว งานนี้มาที่จานหลักกันบ้าง และพูดถึงจานหลักจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเนื้อ ซึ่งถ้าพูดถึงเนื้อในจังหวัดนากาโนะแล้วก็ต้องแบรนด์เนื้อ “วัวชินชู (信州牛)”
เนื้อวัวชินชูเป็นเนื้อที่ได้จากวัวซึ่งเลี้ยงด้วยแอปเปิ้ลร่วมกับอาหารอื่น ๆ โดยจังหวัดนากาโนะถือเป็นแหล่งผลิตแอปเปิ้ลที่ดังรองมาจากจังหวัดอาโอโมริซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น อีกทั้งแอปเปิ้ลนากาโนะยังมีสารอาหารเยอะมาก จนว่ากันว่าคนทานแทบจะไม่ต้องพึ่งยารักษาโรคเลยก็ว่าได้ เพราะว่าแอปเปิ้ลนากาโนะมีน้ำตาลที่มากพอรวมถึงวิตามินและแร่ธาตุ ดังนั้นการให้แอปเปิ้ลที่ว่านี้กับวัวจึงเป็นการยกระดับคุณภาพเนื้อวัวไปด้วยในตัว รวมถึงทำให้เนื้อวัวชินชูมีรสชาติเฉพาะตัวและมีไขมันแทรกเนื้อกำลังดี และถือเป็นจุดเด่นของเนื้อวัวชินชู จนเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ “วัวที่เลี้ยงด้วยแอปเปิ้ล (りんごで育った牛)”
ถ้าถามว่าจะอร่อยกับเนื้อวัวชินชูได้ที่ไหน ที่หนึ่งที่เราขอแนะนำเลยก็คือ YAMASACHI (鉄板焼「やまさち」) เคาน์เตอร์เทปปันยากิที่ตั้งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่น SHINANO ของโรงแรม Hotel Metropolitan Nagano ซึ่งเดินเท้าจากสถานี JR Nagano ไปถึงได้ไม่ถึงหนึ่งนาที โดย YAMASACHI จะมีคอร์สอาหารที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยก็คือการใช้เนื้อวัวชินชูระดับพรีเมี่ยม
ตอนที่เราไปนั้น คอร์สอาหารที่ได้ก็จะประกอบด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยอย่างส้มเชื่อม เต้าหู้ไข่ไก่ และถั่ว ต่อด้วยสลัดผักสดราสซอสยูสุมิโสะ ซุปฟักทองเนื้อเนียนหอม ๆ มาซดแก้หนาว ตามด้วย Fillet ปลาประจำฤดูเนื้อแน่นที่เพิ่งย่างเกรียม ๆ หอม ๆ ตรงหน้า พักล้างปากนิดนึงด้วยน้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ลชินชูหอม ๆ สดชื่นเพื่อรีเซ็ทลิ้นให้เราพร้อมสำหรับจานหลัก นั่นคือเนื้อวัวชินชูย่าง Medium Rare เสิร์ฟพร้อมผักย่างประจำฤดูกาลเช่นมะเขือม่วง ฟักทอง ข้าวโพด ถั่วฝักเป็นต้น
ตัวเนื้อวัวชินชูจะถูกหั่นเสิร์ฟพอดีคำพร้อมเครื่องปรุงให้เลือกจิ้มได้ โดยมีน้ำมันงา ซอสมิโซะ และวาซาบิ ซึ่งนอกจากนี้ก็จะมีเกลือให้จิ้มอยู่หยิบมือนึงไว้ช่วยดึงความอุมามิของเนื้อวัวออกมา แน่นอนว่าขั้นแรกเราก็ต้องอยากพิสูจน์ความอร่อยของเนื้อวัวกันก่อนด้วยการจิ้มเพียงเกลือเท่านั้น อย่างแรกที่รู้สึกเลยในตอนที่เนื้อวัวเข้าปากคือความหอมเกรียมนิด ๆ ที่ได้จากเตาเท็ปปันยากิและน้ำซุปจากเนื้อวัว ตามด้วยรสสัมผัสของเนื้อวัวที่นุ่มจนแทบไม่ต้องออกแรงเคี้ยวทำให้เราจดจ่ออยู่กับรสชาติหวานนิดมีน้ำมันหน่อยที่เกลือช่วยดึงรสชาติออกมาให้ได้อย่างเต็มที่
ถัดมาก็ลองมาชิมกับเครื่องปรุงอื่น ๆ บ้าง ส่วนตัวเราไม่ถูกกับกลิ่นของวาซาบิเท่าไหร่แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วต้องลองนิดนึง แน่นอนว่าเราลองแต้มว่าซาบิแค่นิดดดดดดเดียวเท่านั้น ที่ผิดคาดคือวาซาบิไม่ได้เด่นเกินรสชาติของเนื้อเลย (คงเพราะใส่น้อยด้วยมั้ง) แต่ความฉุนและเผ็ดชาของวาซาบิกลายเป็นตัวดันความหวานของเนื้อให้เด่นขึ้นมาได้เป็นอย่างดี
เคลียร์วาซาบิที่เปรียบเหมือนลาสบอสของเครื่องปรุงไปแล้ว ต่อไปมาที่ตัวที่ยังไง๊ยังไงก็รู้ว่ามันอร่อยแน่ ๆ กัน เราเลือกพักเบรกรสชาติกันนิดนึงด้วยการจิ้มเนื้อวัวในเกลือนิดนึงก่อนกินกับน้ำมันงา ตัวน้ำมันงาหอมงาคั่วมากและเหมือนจะมีพริกไทยป่นใส่อยู่เล็กน้อยทำให้รสชาติที่ได้โดยรวมไม่เลี่ยนจนเกินไป และเป็นเครื่องปรุงที่ให้เราได้รสชาติของน้ำมันและซุปในเนื้อวัวแบบเน้น ๆ ใครชอบรสชาติแนวเนื้อย่างแบบน้ำมันฉ่ำ ๆ หอม ๆ ต้องติดใจแน่นอน
สุดท้ายนี้เรา Back to the Basic กันด้วยการจิ้มกับซอสมิโซะที่ทุกคนรู้โลกรู้ว่ามีรสอุมามิอยู่ในตัวอยู่แล้ว พอเนื้อวัวที่มีรสอุมามิอยู่ในตัวมาเจอกับซอสมิโซะ แน่นอนว่าสิ่งที่ได้ก็คือรสอุมามิเน้น ๆ ถ้าจะบอกว่าอร่อยลงตัวสุด ๆ ก็คงน้อยไป เพราะเอาจริงก็บรรยายไม่ถูกเหมือนกันว่าโดยละเอียดแล้วมันอร่อยยังไง บ้าง รู้แค่ว่าที่กินอยู่ตอนนี้อร่อยมากจนน่าจะลิ้นแพงขึ้นอีกเลเวลนึงแน่นๆ เท่าที่พอจะอธิบายได้คือซุปหวานๆ กับเนื้อวัวนุ่ม ๆ บวกกับมิโซะเค็มนิด ๆ แถมหอมมีเอกลักษณ์ช่วยเสริมรสชาติกันได้อย่างดีเยี่ยม และรู้สึกคิดถูกจริง ๆ ที่ให้ซอสมิโซะเป็นฟินาเล่ของการชิมเนื้อวัวชินชูในครั้งนี้
หลังจากนั้นก็ปิดคอร์สอาหารกันด้วยชิเมะนั่นก็คือข้าวผัดร้อน ๆ หอม ๆ ถ้วยนึง ตามด้วยของหวานคือผลไม้ประจำฤดูกาลของนากาโนะและมูสเนื้อเนียน และเครื่องดื่มที่มีให้เลือกเช่นชา กาแฟ และซอฟท์ดริ้งอื่น ๆ พอกินหมดก็แทบจะกลิ้งลงเก้าอี้ออกจากร้านได้แล้ว ถึงจะอิ่มจุกมาก ๆ แต่คอร์สเนื้อวัวชินชูถือเป็นมื้อที่ควรมาลองให้ได้อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต
YAMASACHI (鉄板焼「やまさち」)
ที่อยู่ | Minamiishidocho-1346, Nagano, 380-0824, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.30 – 14.30 น. / 17.30 – 21.30 น. |
การเดินทาง | จากสถานี JR Nagano เดินประมาณ 5 นาทีเข้าไปในโรงแรม Hotel Metropolitan Nagano ร้านอยู่ชั้น 2 ข้างในร้าน SHINANO อีกที |
เว็บไซต์ | nagano.hotel-metropolitan.com |
5.เกาลัดแห่งเมืองโอบุเสะ อาณาจักรเกาลัด
มาต่อกันที่เกาลัด อีกของอร่อยของจังหวัดนากาโนะกันบ้าง ถ้าเพื่อน ๆ เป็นคนหนึ่งไม่เคยกินเกาลัดมาก่อน เมืองโอบุเสะ (小布施町) คือที่ที่เหมาะสำหรับเดบิวต์เข้าวงการนักกินเกาลัด อย่างเช่นเราเป็นต้นที่เคยเดินเยาวราชมาหลายครั้งแต่ไม่เคยซื้อเกาลัดกินสักรอบ เลยถือโอกาสมาเปิดโลกที่เมืองโอบุเสะซะเลย
เมืองโอบุเสะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ยังคงบรรยากาศเมืองเก่าไว้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นนอกจากจะมาที่นี่เพื่ออร่อยกับเกาลัดแล้ว เรายังจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศญี่ปุ่นจ๋าอีกด้วย จุดเริ่มต้นของเกาลัดเมืองโอบุเสะนั้นว่ากันว่าเริ่มมาจากพระสงฆ์คูไค (弘法大師空海) ที่กำลังธุดงค์ไปตามแคว้นต่าง ๆ โดยได้มาปลูกเกาลัดที่เมืองโอบุเสะ และเกาลัดนั้นก็แพร่ขยายในเมืองจนถึงปัจจุบัน ส่วนความลับเบื้องหลังความอร่อยของเกาลัดโอบุเสะก็คาดว่ามาจากทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่บนดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมัตสึคาวะ (松川) ที่มีความเป็นกรดอ่อน ๆ อยู่ ซึ่งเมื่อดินในพื้นที่ได้กรดอ่อนจากแม่น้ำและบวกกับภูมิอากาศของเมืองที่ร้อนจัดในฤดูร้อนและหนาวจัดในฤดูหนาวแล้ว จึงเกิดเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกาลัดในพื้นที่มีกลิ่นรสที่เฉพาะตัวนั่นเอง
ทันทีที่เข้าเขตเมืองโอบุเสะ เราจะเห็นอาคารสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมเรียงรายอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารและร้านขนมที่มีเกาลัดเป็นวัตถุดิบหลัก ถ้ามาถึงแล้วไม่รู้ว่าจะเริ่มจากไหนดี ขอแนะนำให้มาที่ Chikufudo Obuse Honten (竹風堂 小布施本店) ร้านที่เสิร์ฟตั้งแต่ขนมทำจากเกาลัดไปจนถึงเซ็ทอาหารโอโควะ (おこわ, ข้าวเหนียวหุงถั่วแดงหรือเกาลัดเป็นต้น)
เซ็ทอาหารโอโควะของทางร้านจะมาพร้อมกับปลาย่างรสหวานที่กินได้ทั้งตัว ซุปมิโซะ จานเครื่องเคียงที่มีผักและเต้าหู้ น้ำแอปเปิ้ลชินชู และตัวเอกของเซ็ทก็คือข้าวโอโควะเกาลัดนั่นเอง ข้าวเหนียวจะเป็นข้าวเหนียวที่เนื้อนุ่มหนุบหนับกว่าข้าวเหนียวไทย ส่วนเกาลัดจะมาเป็นชิ้นพอดีคำที่เคี้ยวแล้วกรุบนิด ๆ แต่เนื้อนุ่มไม่แพ้กัน ถือเป็นข้าวโอโควะที่ให้เราเพลินกับรสสัมผัสที่หลากหลายได้ทีเดียว แต่นอกจากรสสัมผัสแล้ว สิ่งที่ต้องยกให้เลยก็คือกลิ่นหอมของเกาลัดซึ่งจะออกกลิ่นไม้ ๆ หน่อยและรสหวานธรรมชาติที่ล้อไปกับรสหวานของข้าวเหนียวได้เป็นอย่างดีและไม่ทำให้ตัวข้าวนั้นหวานเลี่ยน แถมจะกินคู่กับปลาย่างหรือจะซดซุปมิโซะตามก็เข้ากันได้ดีมาก
Chikufudo Obuse Honten (竹風堂 小布施本店)
ที่อยู่ | 973 Obuse, Obuse, Kamitakai District, Nagano 381-0201, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | โซนร้านจำหน่ายสินค้า 8.00-18.00 น. โซนร้านอาหาร 10.00-18.00 น. |
การเดินทาง | เดิน 8 นาทีจากสถานี Obuse ของทางรถไฟสาย Nagano Dentetsu |
เว็บไซต์ | chikufudo.com |
ต่อจากของคาวแล้วเพื่อน ๆ อาจจะอยากกินเกาลัดเป็นของหวานให้ครบไปด้วยกันเลย และร้านที่หลายคนแนะนำก็คือร้าน Obusedo (小布施堂) ร้านเก่าแก่ประจำเมืองโอบุเสะที่คิวเข้านั่งที่ร้านเต็มอยู่เสมอ ซึ่งถ้าไม่จองล่วงหน้าก็มีโอกาสพลาดได้เหมือนกัน
เมนูเด่นของร้านก็คือ Suzaku (朱雀) ขนมประจำฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นซีซั่นของเกาลัดพอดี แต่ถ้าไปช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงเช่นปลายเดือนกันยายนก็มีให้ลองเช่นกัน
Suzaku เป็นขนมที่นำเกาลัดเก็บใหม่สด ๆ มานึ่งแล้วบดจนเนื้อเนียนฟูนุ่ม แถมมีรสชาติหวานของเกาลัดล้วน ๆ ไม่มีน้ำตาลผสม นอกจากนี้ ทางร้านยังใส่ใจในการทำ Suzaku แต่ละชิ้นขึ้นมาให้มีรสชาติของเกาลัดแท้ ๆ และไม่สูญเสียความหอมอร่อยของเกาลัดไป
เกริ่นมาพอแล้ว ได้เวลาชิมของจริงกัน ตัวขนมขนาดเท่าลูกเทนนิสหน้าตาเหมือนเค้กมองบลังค์ทำให้เราคิดว่ารสสัมผัสน่าจะเหมือนวิปครีม แต่พอตักเข้าปากแล้วจะรู้สึกเหมือนกำลังเคี้ยวเกาลัดนุ่ม ๆ ทั้งลูกในปาก เพราะมาเต็มมากทั้งในเรื่องของกลิ่นหอมคล้ายถั่วเฉพาะตัวของเกาลัด และความหวานที่หวานกว่าที่คิดไว้ ชนิดที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเกาลัดเพียว ๆ หวานได้ขนาดนี้เลยเหรอ จุดที่เหมือนเกาลัดอีกจุดหนึ่งคือเนื้อครีมจะแห้ง ๆ หน่อยผิดกับเนื้อครีมจากนมที่เราคุ้นเคย เลยอาจจะต้องจิบชาช่วยนิดนึงเพื่อให้อร่อยกับ Suzaku ได้แบบคล่องคอมากขึ้น ซึ่งชาที่ร้านมีให้เติมแบบไม่อั้นเองก็เข้ากับขนมได้เป็นอย่างดีทีเดียว พูดได้เลยว่าสมกับเป็นของดีประจำเมืองโอบุเสะ
Obusedo (小布施堂)
ที่อยู่ | 808 Obuse, Kamitakai District, Nagano 381-0201, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 9.00 – 17.00 น. |
การเดินทาง | เดิน 10 นาทีจากสถานี Obuse ของทางรถไฟสาย Nagano Dentetsu |
เว็บไซต์ | obusedo.com |
6. เห็ดมัตสึทาเกะ สุดยอดของอร่อยหายากระดับ SSR ของนากาโนะ
ถ้าจะมีของกินไหนในนากาโนะที่ยกให้ยืนหนึ่งทั้งในเรื่องของความอร่อยและความหายากล่ะก็ ต้องยกให้เห็ดมัตสึทาเกะ (松茸, Matsutake) เลย ก่อนจะไปชิมของจริงนั้นเราไปทำการบ้านมานิดนึงก่อน เห็ดมัตสึทาเกะเป็นเห็ดที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้และมีให้เก็บเกี่ยวได้เฉพาะที่โตตามธรรมชาติเท่านั้น และนอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว เห็ดมัตสึทาเกะยังมีกลิ่นหอมคล้ายเครื่องเทศอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้การมีเห็ดมัตสึทาเกะบนโต๊ะอาหารถือเป็นโอกาสที่พิเศษมากสำหรับคนญี่ปุ่น และเมืองอุเอดะถือเป็นแหล่งขุมทรัพย์หนึ่งที่เก็บเห็ดมัตสึทาเกะได้มากที่สุดของญี่ปุ่น!
และร้านอาหารที่แนะนำเลยในเมืองอุเอดะก็คือ Kinokomura Shinzan (きのこむら深山) ร้านอาหารของ Miyazawa Kinoko Farm (みやざわきのこ園) ฟาร์มเห็ดที่เปิดกิจการในเมืองอุเอดะมาตั้งแต่ปี 1976 โดยเป็นฟาร์มที่มีบทบาทสำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมเห็ดของจังหวัดนากาโนะ ภายในร้านที่ตกแต่งแบบเรโทรนิด ๆ แต่ยังแฝงกิมมิกเกี่ยวกับเห็ดไว้นี้ ลูกค้าจะได้เปิดปาร์ตี้เห็ดกับหลายเมนูอร่อยที่ปรุงจากเห็ดสดใหม่จากโรงปลูกที่ตั้งอยู่ติด ๆ ร้านเลย
Kinokomura Shinzan เสิร์ฟเห็ดมัตสึทาเกะเป็นอาหารเซ็ทที่มีให้เลือกหลายแบบด้วยกัน (ราคาเริ่มต้น 6,800 เยน รวมภาษี)
เซ็ทที่เราลองคือเซ็ท Kosumosu (秋桜) ซึ่งถือเป็นเซ็ทที่เบสิกสุดในบรรดาทั้งหมด ภายในเซ็ทจะมีทั้งหม้อไฟเห็ดมัตสึทาเกะ หม้อไฟเห็ด ซุปเห็ดมัตสึทาเกะเสิร์ฟในกาน้ำชา ข้าวอบเห็ด ชินชูโซบะท็อปปิ้งด้วยเห็ด และเครื่องเคียงตามฤดูกาล ถือเป็นเซ็ทเบสิกที่จัดเต็มมากและให้เราได้อร่อยกับเห็ดหลากชนิดของฟาร์มได้โดยมีเห็ดมัตสึทาเกะเป็นตัวเอกของมื้อ
เริ่มแรกจะมีพี่ ๆ พนักงานสุดเฟรนด์ลี่ของทางร้านมาแนะนำให้ว่าควรเริ่มจากตรงไหนก่อน ซึ่งขั้นแรกเลยก็คือการจัดเห็ดต่าง ๆ ลงในหม้อไฟที่ว่างแล้วจุดไฟปิดฝาอบ ระหว่างรอหม้อทั้งสองเดือดปุด ๆ ก็อุ่นเครื่องกันด้วยน้ำซุปใส ๆ ในกาน้ำชา ซึ่งแค่รินน้ำซุปออกมาก็หอมดาชิและเห็ดมัตสึทาเกะแล้ว ยิ่งพอจิบจะได้กลิ่นหอมเข้ม ๆ คล้ายกลิ่นไม้ของตัวเห็ดเข้าไปอีก มาต่อกันที่ข้าวอบเห็ดซึ่งปรุงรสเค็มอ่อน ๆ ในแบบที่จะกินเปล่า ๆ ก็อร่อย หรือจะกินคู่กับอย่างอื่นเป็นกับข้าวก็ลงตัวเหมือนกัน จากนั้นเปลี่ยนบรรยากาศกันซักนิดด้วยชินชูโซบะที่เสิร์ฟเย็นพร้อมท็อปปิ้งเห็ดชิเมจิ ซึ่งเนื้อโซบะเส้นนุ่มกำลังดีตัดกับเนื้อสัมผัสกรุบ ๆ ของเห็ดชิเมจิได้ลงตัวทีเดียว!
เอาล่ะ หม้อเดือดปุด ๆ แล้วก็ได้เวลาตักเห็ดในหม้อไฟมาชิมกันแล้ว
ด้วยความที่อบในหม้อดินทำให้บรรดาเนื้อ เห็ด และผักในนี้สุกเร็วแต่ไม่เสียความอร่อยของวัตถุดิบสดใหม่ไป ส่วนน้ำซุปที่ใช้ต้มนั้นจะเป็นซุปดำรสชาติเข้มข้นเข้าถึงเนื้อวัตถุดิบ และหนึ่งในนั้นคือเห็ดมัตสึทาเกะหั่นซีกชิ้นโตที่ให้กินได้เต็มคำ
ในตอนแรกเราคิดว่ารสชาติของซุปและกลิ่นจากวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ต้มด้วยกันจะปนเปกับกลิ่นเฉพาะตัวของเห็ดมัตสึทาเกะบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลิ่นของเห็ดมัตสึทาเกะนั้นสู้มากและเด่นมาก ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ออกแผดนิดนึงเหมือนเห็ดชิเมจิ แต่จะเป็นกลิ่นไม้เข้ม ๆ ที่ค่อนไปทางหวานนิดนึง ซึ่ง 2 คีย์เวิร์ดนี้เป็นคำที่เรามักจะโยงกับอิมเมจของฤดูใบไม้ร่วงที่มีป่าสีแดงและผลพืชหวานอร่อยให้ชิมเยอะ และนี่น่าจะเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นชอบเกี่ยวกับเห็ดมัตสึทาเกะและยกให้เจ้าเห็ดนี้เป็นวัตถุดิบแห่งฤดูใบไม้ร่วง ยิ่งพอกินสลับกับเห็ดชิเมจิบ้าง เห็ดเข็มทองบ้าง หรือเนื้อวัวและผักกาดขาวหวานกรุบ ๆ ล่ะก็ ถือเป็นเมนูหม้อไฟที่อร่อยสุด ๆ เมนูหนึ่งเท่าที่เคยชิมมาก็ว่าได้ โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชอบอาหารญี่ปุ่น หรือคนที่กำลังมองหาอาหารที่อร่อยแบบเหนือระดับ นี่เป็นมื้อหนึ่งในชีวิตที่ควรลองสักครั้ง
Kinokomura Shinzan (きのこむら深山)
ที่อยู่ | 710-2 Maeyama, Ueda, Nagano 386-1436, Japan. |
เวลาเปิด-ปิด | 11.00 – 14.30 น. |
การเดินทาง | นั่งแท๊กซี่ 5 นาทีจากสถานี Nakano ทางรถไฟสาย Uedadentetsu Bessho |
เว็บไซต์ | e-shinzan.com , miyazawa-kinoko.com |
มาถึงตรงนี้แล้วเริ่มท้องร้องโครกครากกันยังเอ่ย? ถ้าใช่ ลองตีตั๋วมาเที่ยวนากาโนะกันให้ได้นะ เพราะนอกจากที่นี่จะมีอาหารสุดเฮลตี้ที่อร่อยไม่น่าเชื่ออย่างที่เราได้ดูกันไปแล้ว นากาโนะขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติที่สวยสุด ๆ แห่งหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นเยี่ยมที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว ใครรักธรรมชาติและของอร่อยต้องมา!
เที่ยวหายห่วงเรื่องงบ ด้วย JR EAST PASS (Nagano, Niigata area)
แต่ถ้ากำลังห่วงว่าเที่ยวชิมทั่วจังหวัดขนาดนี้ งบเดินทางจะบานปลายไหมนะ? หายห่วงได้เลย! เพราะตัวช่วยที่เราผู้เขียนใช้ตอนเดินทางก็คือตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) ตั๋วพิเศษสำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะที่ให้เราขึ้นรถไฟและรถชินกันเซ็นได้แบบไม่อั้นตลอดระยะเวลา 5 วัน ราคาตั๋วอยู่ที่ 27,000 เยนซึ่งเทียบกับค่าชินกันเซ็นไป-กลับระหว่างโตเกียวและนากาโนะที่ราคากินไปราว ๆ 15,620 เยนแล้ว แถมพอบวกกับค่ารถไฟไปตระเวนกินรอบเมืองอื่น ๆ ในจังหวัด แถมขึ้นรถไฟ Joyful Train ด้วยแล้ว ถือว่าเป็นตัวช่วยชั้นดีทีเดียว ที่สำคัญคือเราสามารถซื้อ JR EAST PASS และจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าตั้งแต่ตอนอยู่ที่ไทยได้ง่าย ๆ ผ่าน JR-EAST Train Resevation
JR EAST PASS (Nagano, Niigata area)
ราคา | ผู้ใหญ่ 27,000 เยน, เด็ก (อายุ 6-11 ปี) 13,500 เยน |
ระยะเวลาการใช้ตั๋ว | 5 วันติดกัน (ขึ้นรถไฟได้ไม่จำกัดรอบ) |
พื้นที่ที่ใช้ตั๋วได้ | จังหวัดนากาโนะ, จังหวัดนีงาตะ, ภูมิภาคคันโต |
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมและซื้อตั๋วได้ที่ Official Website | jreast.co.jp |
ขอบคุณ ZIPAIR ผู้สนับสนุนการเดินทางจากประเทศไทยสู่กรุงโตเกียว
ZIPAIR เป็นสายการบินราคาประหยัด (LCC-Low Cost Carrier) ระดับพรีเมียมในเครือ Japan Airlines (JAL) ที่เริ่มให้บริการครั้งแรกเมื่อประมาณกลางปี 2020 แม้เป็นสายการบินแบบ LCC แต่คุณภาพบริการและความสะดวกสบายของ ZIPAIR ที่ทัดเทียมกับ JAL ทำให้ ZIPAIR เป็นทางเลือกชั้นเยี่ยมสำหรับใครที่กำลังมองหาการเดินทางไปญี่ปุ่นในราคาประหยัด
จุดเด่นหลัก ๆ ของสายการบิน ZIPAIR ที่ทำให้แตกต่างจากสายการบิน LCC ทั่วไป
1. มี Internet Wi-fi ให้ใช้ตลอดการบิน
2. ที่นั่ง standard กว้างนั่งสบาย มีฟังก์ชั่นหลากหลาย
3. ชำระเงินระบบ Cashless
4. Full-Flat Seat ที่ปรับนอนได้ แถมเป็นส่วนตัวสุด ๆ
5. อาหารบนเครื่องมีให้เลือกหลากหลาย รสชาติอร่อย
ตารางบินเส้นทาง กรุงเทพฯ – นาริตะ
ขาไป: กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – โตเกียว (นาริตะ) 23:10-7:25(+1)
ขากลับ: โตเกียว (นาริตะ) – กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) 17:00-21:45
*มีเที่ยวบินทุกวัน