ช่วงหน้าร้อนในญี่ปุ่นอากาศร้อนจัดไม่แพ้เมืองไทย คนญี่ปุ่นเดินเป็นกิจวัตร ดังนั้นจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงรังสียูวีจากแสงแดดกล้าได้ รังสียูวีเป็นเหตุให้เกิดปัญหาผิวพรรณต่าง ๆ เช่น ผิวแห้งกร้าน ผิวไหม้ ฝ้ากระ และรอยเหี่ยวย่น เป็นต้น มารู้จักผักหน้าร้อนที่คนญี่ปุ่นแนะนำว่าหากรับประทานเป็นประจำแล้วจะช่วยให้ผิวพรรณสวยงามและช่วยป้องกันการแก่ของผิวที่มีสาเหตุมาจากรังสียูวีในแสงแดดกันค่ะ
4 ผักที่มีผลช่วยลดปัญหาผิวพรรณถูกทำลายจากแสงแดด
1. มะเขือม่วง
มะเขือม่วง เป็นผักที่มีฤทธิ์เย็นจึงช่วยลดความร้อนในร่างกายหลังจากที่โดนแดด มะเขือม่วงอุดมไปด้วยสารนาซูนิน (Nasunin) ซึ่งเป็นโพลีฟีนอลชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกายอันส่งผลให้เกิดจุดด่างดำ ผิวหนังเหี่ยวย่น และผิวพรรณหยาบกร้าน อีกทั้งมะเขือม่วงยังอุดมไปด้วยสารคลอโรจีนิก (Chlorogenic acid) ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยชะลอความแก่และป้องกันโรคมะเร็งได้
2. พริกหยวก
พริกหยวก เป็นผักหน้าร้อนที่อุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ ได้แก่ สารฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซีซึ่งช่วยส่งเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและป้องกันการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทั้งนี้วิตามินซีในพริกหยวกมีคุณสมบัติทนความร้อนจึงสามารถนำมาผัดโดยคงคุณค่าสารอาหารที่ครบถ้วน
3. บ๊อกฉ่อย
บ๊อกฉ่อย เป็นผักกาดชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนที่หาซื้อได้ทั้งปีในญี่ปุ่น ผักชนิดนี้มีฤทธิ์เย็นช่วยให้ร่างกายเย็นลงและมีผลช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีทำให้มีสารอาหารไปเลี้ยงผิวได้ดี นอกจากนี้ บ๊อกฉ่อยยังอุดมไปด้วยบีต้า แคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันรอยด่างดำและช่วยให้ผิวขาวใส
4. พริกหวาน
พริกหวาน เป็นผักที่มีวิตามินซีสูงกว่าพริกหยวกและมีในปริมาณที่พอ ๆ กับมะนาวเหลือง พริกหวานมีสารแคปซานธิน (Capsanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันปัญหาการแก่ของผิวหนัง โดยพริกหวานมีรสชาติหวานอร่อยทำให้สามารถนำมารับประทานเป็นสลัดเพื่อรับคุณค่าสารอาหารที่ครบถ้วนได้
แสงแดดและรังสียูวีเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการแก่ของผิวหนัง ได้แก่ รอยด่างดำ ฝ้ากระ และริ้วรอยเหี่ยวย่น แม้จะป้องกันได้ด้วยครีมกันแดดและครีมบำรุงผิว แต่ความงามจากภายในก็ช่วยเสริมให้คงความอ่อนเยาว์ไว้ได้นานยิ่งขึ้น ลองรับประทานผักดังกล่าวเป็นประจำเพื่อความงามที่ยั่งยืนกันค่ะ
สรุปเนื้อหาจาก: yogajournal.jp