“ราเม็ง” หนึ่งในอาหารญี่ปุ่นแสนอร่อยที่ต่อให้แม้ว่ากำลังตั้งใจลดน้ำหนักอยู่ก็เชื่อได้เลยว่าคงเป็นการยากที่จะอดใจไม่กินไปได้ น้ำซุปราเม็งร้อน ๆ แสนอร่อย กลิ่นหอมแตะจมูกที่เมื่อกินเข้าไปแล้ว นอกเหนือจากที่จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นและร้อนแล้ว ยังเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับร่างกายที่เหนื่อยล้าของเราได้ดีอีกด้วย ดังนั้นถ้าเรารู้จักวิธีการกินราเม็งที่ถูกต้องก็จะไม่ทำให้อ้วนได้ง่าย และสำหรับใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ก็จะทำให้การลดหรือควบคุณน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้นค่ะ ดังนั้นในวันนี้เราจะมาดูวิธีการกินราเม็งว่ากินอย่างไรถึงจะได้รับประโยชน์จากราเม็งมากที่สุดกันค่ะ!
ราเม็งประเภทไหนไม่อ้วน? ช่วงเวลาที่ควรกิน? กินอะไรพร้อมกับราเม็งถึงจะดีต่อร่างกายที่สุด?
หลักการสำคัญในการลดน้ำหนักที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ผลดีที่สุดคือ “ต้องไม่เครียดหรือกดดันตัวเอง” โดยต่อให้กำลังลดน้ำหนักอยู่ ถ้ารู้สึกว่าอยากกินราเม็งก็ควรที่จะกิน เพราะเมื่อเรารู้สึกสนุก เอ็นจอยกับการกิน การไดเอทลดน้ำหนักก็จะประสบเห็นผลค่ะ
การลดน้ำหนักแบบเกินพอดี ทำให้ร่างกายเย็นลง และเกิดความอยากกินราเม็งเพิ่มขึ้น!?
เมื่อเราจำกัดปริมาณอาหารที่กินเข้าไปอยู่เรื่อย ๆ ระบบการเผาผลาญของร่างกายก็จะเเย่ลง สิ่งที่ตามมาก็คือ “เกิดเป็นโรคมือเท้าเย็น” ดังนั้นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ตามปกติเราก็มักอยากที่จะกินอะไรร้อน ๆ ซึ่งราเม็งก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกรับประทานกันค่ะ เพราะถ้าเราปล่อยให้ร่างกายรู้สึกเย็น ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มความเครียด รู้สึกเหนื่อยล้า ภูมิต้านทานร่างกายก็ลดลง สุดท้ายก็จะป่วยได้ง่าย
ในความเป็นจริงแล้ว ไขมันและเกลือในน้ำซุปราเม็งยังจะช่วยทำให้ “ระบบประสาทซิมพาเทติก” ( Sympathetic Nervous System) ทำงานได้ดีขึ้นด้วย เมื่อร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลีย แล้วเรากินราเม็งเข้าไปก็จะช่วยให้เรารู้สึกแข็งแรง มีกำลังวังชาเพิ่มขึ้น โดยถ้าใครเคยมีประสบการณ์ไปเล่นสกีในฤดูหนาวแล้วเมื่อเล่นสกีเสร็จแล้วได้มีโอกาสกินซุปร้อน ๆ หรือราเม็งเข้าไป จะรู้สึกได้เลยว่าราเม็งนั้นจะมีความอร่อยเป็นพิเศษค่ะ (ทั้งนี้ ระบบประสาทซิมพาเทติก คือ หนึ่งในระบบประสาทอัตโนมัติของร่างกายที่มีหน้าที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า สิ่งกระตุ้น เพื่อช่วยให้ร่างกายเรามีปฏิกิริยาตอบสนองทันทีในภาวะคับขันเพื่อพร้อมให้ร่างกายต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดหรือหนีจากเหตุการณ์ต่างๆ)
“ราเม็งทำให้อ้วน” สาเหตุมาจากคาร์โบไฮเดรต เกลือและไขมัน?
ในราเม็ง 1 ชาม ตามปกติแล้วจะให้พลังงานอยู่ที่ 600 – 1,000 กิโลแคลอรี่ โดยจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ 60 กรัม และเกลือที่ 4-7 กรัม ทั้งนี้ ปริมาณแคลอรี่ก็ขึ้นอยู่กับร้านราเม็งแต่ละร้านด้วยนะคะว่าทำราเม็งออกมาเป็นเเบบไหนกัน ซึ่งจากปริมาณของคาร์โบไฮเดรตและปริมาณเกลือตามที่กล่าวมาก่อนหน้า สำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงทั่วไป การกินราเม็ง 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็ถือว่าไม่มีปัญหาหรือส่งอะไรต่อสุขภาพค่ะ แต่ก็แนะนำว่าถ้าวันไหนได้กินราเม็งไปแล้ว อาหารมื้อเย็นของวันนั้นก็แนะนำให้ลดคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ลงและเน้นไปเพิ่มการกินผัก รวมถึงเลือกกินอาหารที่มีรสจืดหรืออ่อนได้ก็จะดี แต่ถ้าเรายังคงกินราเม็งเป็นอาหารมื้อดึกหลังจากไปดื่มสังสรรค์มา หรือกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นประจำ เหมือนตอนที่สมัยยังเป็นวัยรุ่นหรือสมัยที่อายุน้อยอยู่ ก็คงจะทำให้น้ำหนักขึ้นหรืออ้วนขึ้นได้ง่าย สาเหตุก็เนื่องมาจากการเผาผลาญอาหารของร่างกายช่วงอายุ 40 ปี – 50 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงอายุ 20 ปี จะลดลงที่ร้อยละ 8 และร้อยละ 16 ตามลำดับ
โดยคาร์โบไฮเดรต เกลือและไขมัน เมื่อร่างกายได้รับประทานกินเข้าไป อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น และเมื่อเราอายุมากขึ้นระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกายก็จะลดลง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อ้วนขึ้นได้ง่ายค่ะ ดังนั้นในคราวนี้เราก็จะมาบอกเคล็ดลับในการกินราเม็งที่จะทำให้ไม่อ้วนกันค่ะ มี 10 ข้อด้วยกันตามมาดูกันไปพร้อม ๆ กันเลย!
10 วิธีกินราเม็งอย่างไรให้ไม่อ้วน!
1. ก่อนที่จะกินควรดื่มเครื่องดื่มร้อนรองท้องก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว เพื่อให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น เราควรที่จะดื่มเครื่องดื่มร้อนเข้าไป นอกเหนือจากจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยทำให้เราไม่รู้สึกหิวมากจนเกินไปด้วย ซึ่งจะทำให้ความอยากในการกินซุปราเม็ง การกินเร็ว หรือการกินในปริมาณที่มากเกินไปก็จะลดน้อยลงค่ะ โดยเครื่องดื่มที่แนะนำก็คือ เครื่องดื่มประเภทชาเขียว เนื่องจากมีสาร “คาเทชิน” (Katekin = カテキン) ซึ่งนอกเหนือจากที่จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายได้ดีอีกด้วย แต่ถ้าใครไม่ชอบดื่มชาเขียวก็สามารถเลือกดื่มเป็นกาแฟหรือชาฝรั่งก็จะได้ผลดีเช่นเดียวกันค่ะ
2. เลือกกินเป็น “ราเม็งหมูชาชู” หรือ “ราเม็งหมูชาชูใส่ไข่ต้ม” จะดีกว่านะ!
เนื่องจากถ้าเรากินโปรตีนหรือไขมันที่ได้จากหมูชาชูก่อนที่จะกินเส้นราเม็ง (ที่จะกลายมาเป็นแป้งและเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในเวลาต่อมา) ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ากินผักควบคู่ไปด้วยหรือกินผักก่อนเส้นราเม็งก็จะยิ่งได้ผลดีเลยทีเดียวค่ะ โดยปริมาณหมูชาชูที่ควรบริโภคคือ 70 – 80 กรัม (หรือเท่ากับคิดเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งของเส้นราเม็ง) จำนวน 2 – 3 ชิ้น และไข่ต้มที่ประมาณครึ่งฟองถึง 1 ฟอง ในกรณีที่เป็นราเม็งที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำเองที่บ้าน แค่ใส่ไข่ดิบหรือไข่ต้มลงไปก็ถือว่าโอเคแล้วค่ะ โดยในหมูชาชูหรือไข่ต้มจะมีโปรตีนซึ่งช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้อง ทำให้ป้องกันการรับประทานหรือกินราเม็งมากจนเกินไปได้
3. “ผัก” นอกเหนือจากช่วยเรื่องลดปริมาณเกลือแล้วยิ่งใส่เยอะยิ่งดีนะ!
ถ้าเรากินผักหรือโปรตีนก่อนที่จะกินเส้นซึ่งก็คือคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งก่อน ก็จะช่วยให้แป้งเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ช้าค่ะ โดยในผักจะมี “แร่ธาตุโพแทสเซียม” (Potassium = カリウム) อยู่ ซึ่งจะช่วยกำจัดปริมาณเกลือที่ร่างกายไม่ควรได้รับมากเกินไปได้ค่ะ โดยแร่ธาตุโพเเสเซียมนี้สามารถพบได้ในผักหลากหลายชนิด เช่น ถั่วงอก ผักกาดขาว กะหล่ำปลี แครอท ผักฮ่องเต้น้อย กุยช่ายหรือหัวหอมยาว เป็นต้น โดยปริมาณผักที่ควรกิน ในกรณีที่เป็นผักสดก็ให้กินในปริมาณ 2 กำมือ แต่ถ้ารู้สึกว่าเยอะไปก็ลองนำผักไปต้มดู เช่น ผักกาดขาว ซึ่งพอนำไปต้มปริมาณก็จะลดลงเหลือเพียงที่ร้อยละ 70 ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่เยอะ สามารถกินให้หมดได้ง่ายขึ้นค่ะ แต่ถ้าใครรู้สึกว่ามีแค่ผักแล้วไม่เพียงพอก็สามารถที่จะเพิ่มใส่หมูชาชู (2 – 3 แผ่น) หรือไข่ต้ม (ครึ่งฟองถึง 1 ฟอง) ลงไปได้และถ้าทำได้ควรรับประทานผักให้ได้ในปริมาณเทียบเท่ากับปริมาณของเส้นราเม็งก็จะยิ่งดีค่ะ แต่ก็ไม่ควรฝืนกินถ้ารู้สึกว่าร่างกายรับไม่ไหวนะคะ
4. “ต้นหอม” “กุยช่าย” “กระเทียม” และ “งาขาว” เป็นตัวช่วยทำให้ผอมได้นะ!
เครื่องปรุงหรือเครื่องเคียงราเม็งต่าง ๆ เช่น “ต้นหอม” “กุยช่าย” “กระเทียม” และ “งาขาว” ถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยในราเม็ง โดยร้านราเม็งหลายร้านก็มักจะวางสิ่งเหล่านี้ไว้ที่โต๊ะให้ลูกค้าสามารถตัดใส่เพิ่มลงไปในราเม็งได้ตามใจชอบ โดยรสเผ็ดและรสขมของเครื่องปรุงหรือเครื่องเคียงเหล่านี้ มาจาก “สารไดแอลลิลไดซัลไฟด์” (Diallyl Sulfide) ซึ่งเมื่อไปผสมรวมตัวกันกับวิตามินบีที่ได้จากหมูชาชู ก็จะทำให้การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเป็นไปอย่างต่อเนื่องและดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยป้องกันไม่ให้แก่หรืออ้วนขึ้นได้อีกด้วย (ทั้งนี้ สารไดแอลลิลไดซัลไฟด์ คือ สารประกอบอินทรีย์ที่มีกำมะถัน มีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอกและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้ค่ะ)
5. “น้ำส้มสายชู” ช่วยลดความเครียดและเพิ่มการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้ดีขึ้นได้!
ส่วนใหญ่แล้วร้านราเม็งที่มีเกี๊ยวซ่าขายก็จะมีน้ำส้มสายชูวางไว้ให้ลูกค้าสามารถใช้กินได้ โดย “อาหารรสเปรี้ยว” หรือ “น้ำส้มสายชู” เชื่อว่าเมื่อรับประทานเข้าไปจะช่วยลดบรรเทาความเครียดและอารมณ์ฉุนเฉียวลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยกระตุ้นเพิ่มการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้ดีขึ้นอีกด้วย เช่น น้ำส้มสายชูดำ จะมี “สารโพลีฟีนอล (Pholyphenols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความแก่
6. ควรดื่มน้ำหรือชาร้อนตามเข้าไปเวลากินราเม็ง
ตามปกติแล้วในน้ำซุปราเม็งจะมีปริมาณเกลือค่อนข้างมาก ซึ่งถ้าเรากินเกลือเข้าไปเยอะ เราก็จะรู้สึกหิวน้ำ แล้วเราก็จะยิ่งกินน้ำซุปราเม็งมากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายต่อร่างกายของเรา แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการดื่มน้ำ (ที่อุณหภูมิห้อง) หรือชาร้อนตามเข้าไปค่ะ แต่ควรหลักเลี่ยงที่จะไม่ดื่มน้ำเย็นนะคะ เพราะร่างกายอุตส่าห์อุ่นขึ้นจากการกินราเม็ง กลับจะกลายเป็นร่างกายจะยิ่งรู้สึกเย็นขึ้นแทนค่ะ
7. กินซุปให้พอดีอย่าเพิ่งซดจนหมดถ้วย!
น้ำซุปจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของราเม็งที่เรามักจะต้องกิน แต่ทว่าการกินน้ำซุปจนหมดชามถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะในน้ำซุปนั้นจะมีปริมาณเกลือและไขมันค่อนข้างมาก ควรที่จะเหลือน้ำซุปไว้บ้างจะดีกว่า
8. ถ้าเป็นผู้หญิงลองสั่งราเม็งแบบเส้นน้อย ไม่ก็แชร์แบ่งกัน เพื่อพลังงานแคลอรี่ที่น้อยลง!
ผู้หญิงมีความแตกต่างในเรื่องต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณกล้ามเนื้อที่มีน้อยกว่า อวัยวะภายในและระดับของฮอร์โมนก็ล้วนแล้วแตกต่างกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ระบบเผาผลาญของร่างกายก็ย่อมที่จะไม่เหมือนกัน ดังนั้นปริมาณอาหารที่กินเข้าไปก็ควรที่จะปรับให้เหมาะสม โดยการแบ่งราเม็งกินกันหรือการสั่งให้ใส่เส้นราเม็งในปริมาณที่น้อย ก็ถือว่าเป็นการกินราเม็งที่สนุกในรูปแบบหนึ่ง ถ้ารู้สึกตัวว่ายังไงก็ไม่สามารถกินให้หมดได้ ก็สั่งราเม็งใส่เส้นแค่นิดเดียว จะได้ไม่ต้องเหลือทิ้ง สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุค่ะ
9. ถ้าจะกินราเม็งควรกินเป็นมื้อเที่ยงในวันหยุด แต่ถ้ากินเป็นมื้อเย็น ควรกินไม่เกิน 2 ทุ่ม!
ช่วงเวลาที่แนะนำในการกินราเม็งคือ “กินเป็นมื้อเที่ยงหรือกินเป็นมื้อบรัชน์” (บรัชน์ หรือ Brunch คือ การกินอาหารเช้ารวบไปกับอาหารมื้อเที่ยง) ในวันหยุด โดยราเม็งจะช่วยทำให้ร่างกายที่อ่อนล้ามาจากการทำงานรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่นขึ้น ดังนั้นราเม็งจึงเหมาะกับรับประทานกินเป็นมื้ออาหารในวันหยุด ยิ่งในวันที่เรามีเเผนที่จะไปซื้อของ ไปเที่ยวสวนสนุกหรือทำกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ การกินราเม็งก่อนทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็จะทำให้ร่างกายสามารถนำแคลอรี่ที่บริโภคกินเข้าไปสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าใครจะเลือกราเม็งให้เป็นเหมือนของขวัญต่อความพยายามในช่วงที่ผ่านมา แล้วกินสัก 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โอเคน่าลองทำไม่น้อยนะคะ แต่ทว่าถ้าไม่สามารถอดทนรอกินราเม็งในวันหยุดได้ ก็แนะนำให้กินราเม็งก่อนจะถึงเวลา 2 ทุ่มนะคะ แต่ดีที่สุดคือ ควรที่จะกินราเม็งหรืออาหารให้เสร็จก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมงค่ะ ร่างกายจะได้มีเวลาย่อยอาหารที่กินเข้าไปได้ทัน รวมถึงอาหารที่กินเข้าไปในช่วงเย็นจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ทำให้อ้วนได้ง่ายค่ะ ยิ่งทานเร็วไม่ดึกไปก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดีค่ะ
10. เลือกกินราเม็งชนิดที่ชอบกันเถอะ!
สุดท้ายหลักสำคัญคือ “การเลือกกินราเม็งที่ชอบ” ถ้าชอบกินราเม็งซุปกระดูกหมูทงคตสึแต่กลัวอ้วนแล้วเลือกกินราเม็งชนิดอื่นแทน การกระทำเช่นนี้ไม่แนะนำให้ทำ แล้วใครที่ชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ให้รับประทานกินไปตอนที่รู้สึกอยากกิน เพราะว่าต่อให้เราเลือกรับประทานกินอาหารที่ดูดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าเรารู้สึกเครียด คอยเเต่คิดวิตกกังวล อาหารที่เรากินเข้าไปก็จะไม่อร่อย ความสนุกกับการกินก็จะหายไป และถ้าความเครียดนั้นสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ สักวันพอเราอดทนไม่ได้อีกต่อไป เราก็จะกลายเป็นกินมากขึ้น ไม่สามารถหยุดกินได้ ก็จะทำให้น้ำหนักตัวหรือสุขภาพที่อุตส่าห์เพียรพยายามดูแลรักษาให้คงที่มาก็คงจะไม่สามารถควบคุมหรือรักษาให้ดูดีได้อีกต่อไป
ดังนั้นการกินราเม็งนอกจากจะได้ความอร่อย อิ่มสบายท้องแล้ว ถ้าเรารู้จักปรับเปลี่ยนใส่เทคนิคด้านสุขภาพ 10 ข้อที่แนะนำที่ผ่านเข้าไป ก็เชื่อได้เลยค่ะว่านอกจากกินราเม็งเพื่อความอร่อยแล้ว สุขภาพเราก็จะดีมากขึ้นตามไปด้วยค่ะ ลองไปทำตามกันดูนะคะ
สรุปเนื้อหาจาก: allabout.co.jp
เรียบเรียงโดย: XROSSX