ผู้ชายญี่ปุ่นประมาณร้อยละ 60 และผู้หญิงร้อยละ 40 มีภาวะความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็น “นักฆ่าเงียบผู้เหี้ยมโหด” เนื่องจากมักไม่แสดงอาการและหากไม่ใส่ใจดูแลในระยะยาวก็ส่งผลเสียต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงแก่ชีวิตหรือพิการ ซึ่งได้แก่ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง กล้ามเนื้อหัวใจหนา เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง และไตวาย เป็นต้น นอกจากอาหารที่มีผลในการลดความดันโลหิตแล้ว ก็ยังมีเครื่องดื่มหลายชนิดที่เมื่อดื่มเป็นประจำแล้วมีผลในการลดความดันโลหิตสูงได้ มารู้จัก 2 เครื่องดื่มจากผักที่แพทย์ทางด้านหัวใจชาวญี่ปุ่นแนะนำว่าหากดื่มอย่างสม่ำเสมอแล้วจะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้กันค่ะ
เครื่องดื่มจากผักที่ช่วยลดความดันโลหิตสูง!
1. น้ำบีทรูท
บีทรูทเป็นผักประเภทหัวมีสีม่วงแดง บีทรูทเป็นผักที่มีปริมาณไนเตรท (Nitrate) สูงกว่าผักอื่น ๆ ไนเตรทจะเปลี่ยนไปเป็นไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ในร่างกายของคนเราซึ่งสารชนิดนี้จะมีผลในการขยายหลอดและทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
*ปริมาณที่ควรรับประทานในแต่ละวัน* จากงานวิจัยพบว่าการดื่มน้ำบีทรูทวันละประมาณ 250 มิลลิลิตร จะมีผลในการลดความดันโลหิตซิสโตลิก (Systolic) หรือค่าความดันโลหิตตัวบนได้โดยเฉลี่ย 4-5 มม.ปรอท
*ข้อควรระวังในการดื่มน้ำบีทรูท* น้ำบีทรูทสำเร็จรูปโดยทั่วไปมักเติมน้ำตาลในปริมาณสูงซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงและเบาหวาน โดยทั่วไปบีทรูทจะมีรสหวานตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์น้ำบีทรูทที่ไม่เติมน้ำตาลหรือปั่นดื่มเองที่บ้าน นอกจากนี้ การดื่มน้ำบีทรูทจะทำให้ปัสสาวะและอุจจาระมีสีแดง หากไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะก็ไม่ต้องตกใจที่สีของปัสสาวะและอุจาระมีสีเข้มออกแดงหลังจากดื่มน้ำบีทรูท
2. น้ำกระเจี๊ยบแดง
น้ำกระเจี๊ยบแดงได้รับความสนใจจากคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมากว่ามีผลในการลดความดันโลหิตสูง เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญดังนี้คือ สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งแองจิโอเทนซิน-คอนเวอร์ติงเอนไซม์ (Angiotensin-Converting Enzyme) ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง โดยเอนไซม์ดังกล่าวทำหน้าที่เปลี่ยนสารแองจิโอเทนซิน I ให้เป็นแองจิโอเทนซิน II ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดหดตัวจนทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน (Aldosterone) ซึ่งทำให้มีการดูดซึมเกลือโซเดียมกลับเข้าร่างกายที่บริเวณไตและส่งผลในการเพิ่มความดันโลหิตของร่างกาย ดังนั้นการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ดังกล่าวจะช่วยให้ความดันโลหิตลดลง โพลีฟีนอล (Polyphenol) ซึ่งมีผลในการต้านอนุมูลอิสระและเสริมการทำงานที่ดีของหลอดเลือดที่ผนังหลอดเลือด โดยมีผลในการคงความยืดหยุ่นของหลอดเลือดและช่วยรักษาความดันโลหิตให้คงที่ นอกจากนี้ น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ขับปัสสาวะเล็กน้อยซึ่งช่วยขจัดน้ำและเกลือส่วนเกินออกจากร่างกายและส่งผลในการลดความดันโลหิตได้
*ปริมาณที่ควรรับประทานในแต่ละวัน* จากข้อมูลงานวิจัยพบว่าการผู้ป่วยที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงวันละประมาณ 2 ถึง 3 ถ้วย (ประมาณ 240 มิลลิลิตรต่อถ้วย) เป็นเวลาติดต่อกันประมาณ 6 สัปดาห์จะมีค่าความดันโลหิตซิสโตลิกหรือค่าความดันโลหิตตัวบนลดลงโดยเฉลี่ย 7.2 มม.ปรอท และค่าไดแอสโตลิก (Diastolic) หรือค่าความดันโลหิตตัวล่างลดลง 3.1 มม.ปรอท
*ข้อควรระวังในการดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง* น้ำกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ ดังนั้นเมื่อปัสสาวะแล้วก็ให้ดื่มน้ำให้เพียงพอโดยเฉพาะในช่วงสภาพอากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกาย นอกจากนี้ น้ำกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์เป็นกรด สำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคกระเพาะอาหารควรเลือกเวลาดื่มหลังอาหาร อีกทั้งหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตรก็ไม่ควรดื่มชาชนิดนี้
หากมีภาวะความดันโลหิตสูง นอกจากปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดแล้วก็ลองตัวช่วยจากน้ำผักดังกล่าวดูค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ดูข้อระวังการดื่มดังข้างต้นด้วยนะคะ
สรุปเนื้อหาจาก: shigyo-medical.com