“มารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติ” เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกประเทศและทุกวัฒนธรรม ญี่ปุ่นก็ถือได้ว่าเป็นชาติที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการทำธุรกิจ เพราะจะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญกับแนวคิดในเรื่องของ “อุจิ” (Uchi = 内) ที่แปลว่า “ในหรือพวกเรา” และ “โซโตะ” (Soto = 外) ที่แปลว่า “ฝ่ายตรงข้ามหรือคนอื่น”
จากความคิดในเรื่องดังกล่าวนี้ นอกเหนือจากที่จะถูกนำไปใช้ในคำศัพท์ รูปแบบประโยคคำพูด หรือการเขียนที่ต้องใช้ให้แตกต่างกันออกไปแล้ว ยังพบว่าถูกใช้ในด้านอื่นๆ อีกมายมายด้วย เช่น การจัดสรรที่นั่งให้บุคคลในที่ประชุม ตำแหน่งการยืนในลิฟต์ ที่ก็ไม่ใช่แค่ในระดับภายในบริษัทหรือองค์กรของตนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง “ตำแหน่งที่นั่งในยานพาหนะ” อีกด้วย ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาดขึ้น ในวันนี้เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติที่ควรทราบเวลาใช้ยานพาหนะที่ญี่ปุ่น คือ “รถแท็กซี่” ให้เข้าใจกันค่ะ
ที่นั่งแบบ “คะมิซะ” และที่นั่งแบบ “ชิโมะซะ” คืออะไร? แตกต่างกับการแบ่งที่นั่งตามปกติอย่างไร?
ปกติแล้วตามมารยาทของญี่ปุ่นในเรื่องของ “ที่นั่ง” จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ (1) ที่นั่งแบบคะมิซะ (Kamiza = 上座) ที่แปลได้ว่า “ที่นั่งบน” และ (2) ที่นั่งแบบชิโมะซะ (Shimoza = 下座) หรือแปลได้ว่า “ที่นั่งล่าง” โดยการแบ่งที่นั่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ ปกติจะใช้ในการจัดสรรที่นั่งในห้องรับรอง ที่นั่งในที่ประชุม ที่นั่งในโต๊ะอาหาร เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ ที่นั่งแบบคะมิซะ นอกจากที่จะแปลตรงตัวได้ว่า “ที่นั่งบน” แล้วยังมีความหมายสื่อว่าที่นั่งนี้เป็น “ที่นั่งสำหรับบุคคลผู้มีตำแหน่งหรือสถานภาพที่สูงหรือที่นั่งสำหรับลูกค้า” ในทางกลับกัน ที่นั่งแบบชิโมะซะ ซึ่งแปลได้ว่า “ที่นั่งล่าง” มีความหมายสื่อถึง “ที่นั่งสำหรับบุคคลผู้มีตำแหน่งหรือสถานภาพที่ต่ำกว่าหรือหมายถึงตัวเราเอง” ได้ด้วยค่ะ
ถ้าพูดถึง “ที่นั่งในห้อง” ที่นั่งแบบคะมิซะก็คือ “ที่นั่งที่ไกลประตูทางเข้าออก” เป็นที่นั่งซึ่งจะไม่มีเสียงหรืออะไรมารบกวน ส่วนที่นั่งเเบบชิโมะซะจะเป็น “ที่นั่งที่ใกล้ประตูทางออก” ซึ่งเป็นที่นั่งที่ไม่ค่อยจะสงบเท่าไรนัก เนื่องจากใกล้ประตูทำให้มีผู้คนเข้าออกบ่อยครั้ง ดังนั้นหลักการนี้จึงถูกนำมาใช้ในเรื่องของการจัดที่นั่งในห้องประชุมหรือห้องรับรองด้วย แต่ก็มีกรณีข้อยกเว้นพิเศษที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ถ้านั่งในที่นั่งแบบคะมิซะแล้วทำให้บุคคลผู้นั้นมองจอภาพจากทีวีมอนิเตอร์หรือกระดานสไลด์ไม่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็จะไม่ถือว่าที่นั่งนั้นเป็นที่นั่งแบบคะมิซะ ที่นั่งที่มองเห็นชัดจะกลายเป็นที่นั่งแบบคะมิซะแทน หรือในร้านอาหารถ้าเราไม่แน่ใจว่าที่นั่งไหนคือนั่งแบบคะมิซะหรือชิโมะซะ ก็แนะนำว่าให้สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่พนักงานของร้านอาหารหรือสถานที่นั้นๆ ดูก็จะดีที่สุดค่ะ
แล้วที่นั่งแบบคะมิซะกับชิโมะซะในรถแท็กซี่ล่ะ?
ที่นั่งแบบคะมิซะและชิโมะซะในรถแท็กซี่จะไม่เหมือนกับการจัดที่นั่งตามปกติแบบที่กล่าวไปก่อนหน้า แต่ให้จำหลักการไว้ว่า “ที่นั่งในรถแท็กซี่ที่นั่งสบายที่สุดคือที่นั่งแบบคะมิซะ” ซึ่งก็คือ “ที่นั่งด้านหลังคนขับ” นั่นเอง
ส่วนที่นั่งที่มีความสำคัญรองลงมาคือ “ที่นั่งด้านหลังที่นั่งข้างคนขับ” ตามมาด้วย “ที่นั่งตรงกลางด้านหลัง” และที่นั่งที่มีความสำคัญน้อยที่สุดหรือที่นั่งแบบชิโมะซะ คือ “ที่นั่งข้างคนขับ” เนื่องจากบุคคลที่นั่งตรงบริเวณนี้จะเป็นผู้ที่ต้องทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ทำหน้าที่จ่ายเงิน ทำหน้าที่คอยบอกทางคนขับรถแท็กซี่ เป็นต้น
ในส่วนของที่นั่งตรงกลางด้านหลัง ก็เป็นที่นั่งที่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้คนที่มีตำแหน่งสูงหรือลูกค้านั่งเช่นกัน เนื่องจากมีพื้นที่ค่อนข้างแคบ จะทำให้นั่งไม่สบายตัวนั่นเองค่ะ แต่ทว่าถ้าเกิดในกรณีที่บุคคลผู้นั้นมีการบาดเจ็บ ขยับขาหรือร่างกายไม่สะดวก ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติทำตามวิธีที่กล่าวมานี้ ให้คำนึงถึงความสะดวกสบายของบุคคลผู้นั้นเป็นหลักมากกว่า
4 หลักการสำคัญเวลาใช้รถแท็กซี่ที่ควรทราบ
1. ลำดับการขึ้นรถ
ลำดับในการขึ้นรถเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเสมอ โดยบุคคลสุดท้ายที่จะขึ้นรถคือ “คนที่นั่งในที่นั่งแบบชิโมะซะหรือคนที่นั่งในที่นั่งข้างคนขับ” โดยบุคคลผู้นี้ไม่ควรที่จะรีบขึ้นรถก่อน ควรรอให้ทุกคนโดยเฉพาะลูกค้าหรือผู้มีตำแหน่งหรือสถานะสูงกว่าขึ้นรถให้หมดเสียก่อนแล้วตัวเองถึงจะค่อยขึ้นไปนั่งในรถตาม
2. มีน้ำใจคิดถึงบุคคลที่นั่งอยู่ในที่นั่งด้านหลังเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่นั่งในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับต้องระมัดระวังในเรื่องของการปรับเบาะพนักพิงหลัง เนื่องจากที่นั่งด้านหลังที่นั่งข้างคนขับจะมีความแคบอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว ถ้ามีการปรับเบาะพนักผิงจากด้านหน้าเพิ่มเข้าไปอีก ก็จะยิ่งทำให้พื้นที่ด้านหลังแคบเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ที่นั่งยังที่นั่งข้างคนขับ ก่อนที่จะทำทำการปรับเบาะพนักผิง ควรบอกหรือสอบถามบุคคลที่นั่งอยู่ด้านหลังเสียก่อนว่าสามารถทำได้หรือไม่จะดีที่สุดค่ะ
3. การเอาใจใส่ต่อสุภาพสตรี
ในกรณีที่มีสมาชิกผู้โดยสารเป็นสุภาพสตรี ก็ไม่ควรที่จะจัดให้นั่งตรงที่นั่งตรงกลางด้านหลัง ยิ่งที่นั่งสองข้างขนาบไปด้วยผู้โดยสารที่เป็นสุภาพบุรุษแล้วยิ่งต้องหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง และถ้าสุภาพสตรีผู้นั้นสวมใส่รองเท้าส้นสูงก็ต้องระวังเช่นกัน
4. การเอาใจใส่บุคคลที่สวมใส่ชุดกิโมโนหรือเสื้อผ้าที่เคลื่อนไหวร่างกายยาก
ถ้าบุคคลผู้นั้นมีการสวมใส่ชุดกิโมโนหรือเสื้อผ้าที่ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวก ก็ไม่ควรที่จะจัดให้นั่งยังที่นั่งตรงกลางด้านหลัง เนื่องจากชุดกิโมโนค่อนข้างแคบโดยเฉพาะเวลาช่วงขาทำให้ขยับร่างกายลำบาก ดังนั้นจึงควรที่จะจัดให้บุคคลผู้นี้นั่งยังที่นั่งที่สามารถขึ้นลงได้อย่างสะดวก เช่น ที่นั่งข้างคนขับหรือที่นั่งด้านหลังที่นั่งข้างคนขับ เป็นต้นค่ะ
4 หน้าที่สำหรับบุคคลที่นั่งยัง “ที่นั่งข้างคนขับ”
1. คอยบอกสถานที่หรือจุดหมายปลายทางที่ต้องการไปกับคนขับรถแท็กซี่
โดยส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่นั่งยังที่นั่งข้างคนขับจะเป็นบุคคลผู้มีหน้าที่บอกสถานที่หรือจุดหมายปลายทางที่ต้องการไปกับคนขับรถแท็กซี่ ต่อให้แม้ว่าในปัจจุบันรถแท็กซี่ส่วนใหญ่จะมีระบบ GPS Navigator ในการนำทาง แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่นั่งยังที่นั่งข้างคนขับก็ควรที่จะมีการเช็คตรวจสอบเส้นทางเผื่อเอาไว้ด้วยเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ และควรที่จะคำนวนเผื่อเวลาในการเดินทางเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟหรือเครื่องบินต่อ
2. แลกเปลี่ยนบทสนทนากับคนขับรถแท็กซี่
พื้นที่ในรถแท็กซี่ถือว่าเป็นสถานที่ ๆ มีเนื้อที่จำกัด เพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างการเดินทางเกิดความตึงเครียดโดยเฉพาะกับลูกค้าหรือบุคคลหรือผู้มีตำแหน่งที่สูงกว่าที่เดินทางไปพร้อมกับเรา บุคคลที่นั่งยังที่นั่งข้างคนขับก็ควรที่จะแลกเปลี่ยนบทสนทนากับคนขับเพื่อให้บรรยากาศมีความรู้สึกผ่อนคลายลง ในกรณีที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนบทสนทนาได้ อย่างน้อยก็ไม่ควรที่จะลืมพูดทักทายสวัสดีคนขับก่อนขึ้นรถหรือขอบคุณคนขับรถแท็กซี่หลังจากที่ใช้บริการเสร็จนะคะ
3. ทำหน้าที่รับเงินทอนและรับบิลใบเสร็จ
ผู้ที่นั่งยังที่นั่งข้างคนขับจะต้องระวังไว้เสมอว่าจะต้องไม่ลืมรับเงินทอนจากคนขับรถแท็กซี่ เพราะบางทีถ้าเรารีบอาจจะทำให้เราเผลอลืมในจุดนี้ไปได้ และถ้าเป็นไปได้ก็ควรเตรียมแบงค์ย่อยหรือเศษเหรียญเอาไว้ด้วย เพราะถ้าเราจ่ายเงินด้วยแบงค์ใหญ่ บางทีคนขับรถแท็กซี่อาจจะไม่มีเงินถอนให้เรา ซึ่งอาจจะถูกปฎิเสธการทอนเงินได้ ทั้งนี้เวลาที่ทำการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือ Electronic Money (E-Money) ก็ต้องระมัดระวังเช่นกัน เนื่องจากการจ่ายชำระเงินด้วยวิธีการนี้ มักจะต้องใช้เวลาในการตัดเงินผ่านระบบคลื่นสัญญานเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ถ้าอยู่ในสถานที่ที่คลื่นสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ดี การชำระเงินก็อาจจะไม่ผ่านหรือใช้เวลาประมวลผลนาน ทำให้เสียเวลาได้ และก็อย่าลืมที่จะรับบิลใบเสร็จจากคนขับรถแท็กซี่ทุกครั้งด้วย เพราะถ้าไม่มี อาจจะไม่สามารถเบิกค่ารถแท็กซี่กับทางบริษัทได้ และควรที่จะตรวจเช็คบิลใบเสร็จด้วยว่ามีรายละเอียดครบถ้วนถูกต้องตามที่เราต้องการหรือไม่ด้วยก่อนที่จะลงไปจากรถแท็กซี่นะคะ
4. ทำหน้าที่ตรวจเช็คก่อนลงจากรถแท็กซี่เสมอว่าไม่ลืมสิ่งของอะไรไว้
เมื่อผู้โดยสารทุกคนลงไปจากรถแท็กซี่หมดแล้ว ผู้ที่นั่งยังที่นั่งข้างคนขับจะต้องทำหน้าที่ตรวจเช็คสิ่งของก่อนที่จะลงจากรถแท็กซี่ว่ามีลืมอะไรไว้หรือไม่เสมอ โดยสิ่งของที่ผู้คนมักจะเผลอลืมทิ้งไว้บอกครั้ง อาทิเช่น มือถือ กระเป๋าสตางค์ กุญแจ เป็นต้น แต่ถ้าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลากลางคืนที่มืดทำให้มองเห็นภายในรถแท็กซี่ไม่ชัด ก็ควรที่จะใช้ไฟฉายจากมือถือส่องเข้าช่วยในการตรวจเช็คสิ่งของเสมอ
มารยามอื่นที่ควรทราบ เพื่อให้การเรียกรถแท็กซี่ง่ายดายยิ่งขึ้น!
1. การเรียกแท็กซี่ให้จอด
เวลาที่เราทำการเรียกรถแท็กซี่บนท้องถนน ก็ไม่ควรที่จะไปขวางหรือทำการเรียกตัดหน้าบุคคลที่ยืนรอเรียกอยู่ก่อนแล้ว และถ้าบริเวณนั้นเป็นสถานที่ซึ่งมีการจราจรคับคั่ง เช่น เป็นบริเวณสี่แยก หรือเป็นบริเวณจุดตัดของทางรางรถไฟกับถนน ก็ไม่ควรที่จะทำการเรียกรถแท็กซี่ให้จอดเพราะอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
2. วิธีการบอกจุดหมายปลายทาง
ตามปกติแล้วถ้าเป็นสถานที่รู้จักกันทั่วไปอย่างเเพร่หลาย การบอกแค่ชื่อสถานที่กับคนขับรถแท็กซี่ ก็คงเพียงพอไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานที่หรือจุดมุ่งหมายที่จะเดินทางไป การเตรียมที่อยู่เอาไว้แล้วนำไปบอกเพิ่มเติมให้กับคนขับรถแท็กซี่ก็จะช่วยทำให้คนขับรถแท็กซี่สามารถเข้าใจถึงสถานที่ดังกล่าวได้ง่ายขึ้นค่ะ และถ้ามีการเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางที่จะใช้เอาไว้ ก็อย่าลืมแจ้งคนขับรถแท็กซี่ให้ทราบ เพื่อที่จะสามารถเดินทางไปถึงยังจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว เป็นการประหยัดเวลาได้อีกด้วย
การใส่หรือขนสัมภาระขึ้นรถแท็กซี่
ผู้ที่นั่งในที่นั่งแบบชิโมะซะจะเป็นผู้ดูแลจัดการในเรื่องเกี่ยวกับการใส่หรือขนสัมภาระขึ้นบนรถแท็กซี่ อย่าลืมที่จะถามให้แน่ใจว่าสามารถใส่สัมภาระยังที่เก็บสัมภาระได้หรือไม่ และควรบอกให้คนขับรถแท็กซี่เป็นคนช่วยในการนำสัมภาระสิ่งของใส่ยังในรถหรือท้ายรถ และในตอนลงรถก็ควรบอกให้คนขับรถแท็กซี่เป็นคนช่วยนำสัมภาระสิ่งของลงจากท้ายรถให้ด้วย ถ้าเกิดกรณีที่มีฝนตก ต้องใช้ร่ม ก็ไม่ควรที่จะวางร่มลงบนเบาะที่นั่งเพราะจะทำให้ที่นั่งเปียกและสกปรกได้ ควรที่จะวางร่มไว้บริเวณขาหรือใส่ถุงกันน้ำก็จะดีที่สุดค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างกับมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติรวมไปถึงข้อควรระวังในการใช้รถแท็กซี่ในญี่ปุ่นที่นำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ แม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้ทุกข้อ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ การแก้ไขก็คงต้องมีขึ้นโดยปรับให้เหมาะสมไปตามสถานการณ์นั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น นอกเหนือจากการขึ้นรถไฟ นั่งรถบัสแล้ว ถ้ามีโอกาสลองใช้บริการรถแท็กซี่ญี่ปุ่นดูนะคะ รับรองว่าจะได้รับประสบการณ์เห็นวิวสภาพบ้านเมืองในมุมที่ต่างและแปลกใหม่ออกไปจากการใช้รถไฟหรือรถบัสแน่นอนค่ะ
สรุปเนื้อหาจาก: shogakukan.co.jp