เช็กก่อนเที่ยว! เพราะซัมเมอร์นี้ศุลกากรญี่ปุ่นตรวจเข้ม ‘สิ่งของที่ห้ามนำเข้าประเทศ’ โดยเฉพาะศุลกากรสนามบินฮาเนดะ สนามบินที่มีสถิติผู้โดยสารเดินทางระหว่างประเทศในเดือน มี.ค. ทะลุ 1.92 ล้านคน เรียกได้ว่ายิ่งผู้โดยสารมากเท่าไร ก็ยังเพิ่มมาตรการตรวจสอบสิ่งของในกระเป๋าสัมภาระทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติอย่างเข้มงวดมากเท่านั้น!
ของใช้ส่วนตัวมูลค่าเกินหรือไม่!?
สิ่งแรกที่ต้องเช็กให้ดีเลยก็คือ ของใช้ส่วนตัวที่มีมูลค่ารวมเกิน 200,000 เยน (ประมาณ 45,500 บาท) ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบรนด์เนม หรือเป็นของขวัญที่ได้รับจากผู้อื่นก็ตาม หากศุลกากรขอเช็กใบเสร็จหรือประเมินแล้วว่ามีมูลค่าเกิน 200,000 เยน คุณจะต้องชำระภาษีนำเข้าเพิ่มเติม
ยกตัวอย่างเคสของหญิงชาวญี่ปุ่น ที่ซื้อกระเป๋า Louis Vuitton มูลค่า 480,000 เยน จากร้านปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อกลับถึงประเทศญี่ปุ่น ศุลกากรสนามบินฮาเนดะได้ขอตรวจสอบใบเสร็จ พร้อมประเมินและเก็บค่าภาษีอากรเป็นเงิน 54,700 เยน หรือประมาณ 12,500 บาท
ขณะที่หญิงชาวญี่ปุ่นอีกคน ที่ได้รับของขวัญจากแฟนเป็นกระเป๋า Louis Vuitton เนื่องจากเธอไม่มีใบเสร็จ ศุลกากรจึงประเมินว่ากระเป๋าดังกล่าสมีราคาประมาณ 300,000 เยน ซึ่งเธอจะต้องชำระภาษีเป็นเงิน 36,400 เยน หรือประมาณ 8,300 บาท
ทองคำแท่งหรือผลิตภัณฑ์ทองคำ ก็ต้องระวังกันให้ดี!
เคยมีเคสนักท่องเที่ยวชาวจีนสวมสร้อยคอทองคำ 24K เดินทางเข้าญี่ปุ่น โดยศุลกากรสนามบินฮาเนดะได้ประเมินว่ามีราคาสูงถึง 800,000 เยน (ซึ่งมีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดไว้ที่ 200,000 เยน) นักท่องเที่ยวคนนี้จึงจำเป็นต้องชำระภาษีเป็นเงินกว่า 75,100 เยน หรือประมาณ 17,100 บาท ทั้งนี้ ก็เพื่อสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าทองคำ โดยหวังนำมาขายเก็งกำไรในญี่ปุ่น ที่เงินเยนอ่อนค่าอย่างรุนแรงในตอนนี้นั่นเอง
นอกจากของใช้ส่วนตัวแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์น้ำหอม ที่ควรมีปริมาณไม่เกิน 2 ออนซ์ หรือราว 56 ml, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องไม่เกิน 3 ขวด ขวดละปริมาณไม่เกิน 760 ml และบุหรี่มวน ต้องไม่เกิน 200 มวน เป็นต้น หากเกินกว่าที่กำหนดไว้ เราจะต้องชำระภาษีนำเข้าในส่วนที่เกินมา
และที่สำคัญที่สุด! ต้องจำไว้ให้ดีว่า ‘สินค้าแบรนด์เนมปลอม’ ไม่ว่าจะก๊อปเกรดไหนก็ห้ามนำเข้าญี่ปุ่นโดยเด็ดขาด!! เมื่อถูกตรวจพบจะถูกยึดและนำไปทำลายทิ้ง แย่กว่านั้นอาจถูกโทษปรับหรือถูกตำรวจจับเลยทีเดียว
สรุปเนื้อหาจาก : customs.go.jp