ประโยคที่ว่า “ดิฉันมีคู่หมั้น (อีนาซึเกะ 許婚 = いいなずけ) ที่พ่อแม่จัดหาไว้ให้อยู่แล้ว” ปกติแล้วเราจะไม่ค่อยได้ยินกันในปัจจุบัน แต่จะได้ยินจากละครหรือหนังภาพยนตร์ในช่วงก่อนสมัยโชวะเท่านั้น ในปัจจุบันก็อาจจะยังมีคนที่มีคู่หมั้นแบบอีนาซึเกะอยู่ แต่สำหรับตัวผู้เขียนนั้นถือได้ว่าไม่เคยเจอบุคคลแบบนั้นเลย จะเจอคู่หมั้นแบบคอนยะคุชะ (婚約者 = こんやくしゃ) ซะมากกว่า บางคนอาจจะรู้สึกว่าคู่หมั้นแบบอีนาซึเกะ ก็มีความหมายเหมือนกันกับ คู่หมั้นแบบคอนยะคุชะ ไม่ใช่เหรอ? แต่ความจริงแล้วรู้หรือไม่ว่าสองคำนี้มีความแตกต่างกัน แต่จะต่างกันอย่างไรนั้น วันนี้เราจะมาอธิบายให้เข้าใจกันค่ะ
คู่หมั้นแบบ “อีนาซึเกะ” คืออะไร?
คำว่า “อีนาซึเกะ“ (許婚 = いいなずけ) ถ้าพูดกันเป็นภาษาปัจจุบันแล้วก็คือ คู่หมั้นแบบคอนยะคุชะ นั่นเอง ทว่าในอดีตความหมายจะแตกต่างกันออกไปนิดหน่อย โดยจะหมายถึง “การหมั้นให้คำสัญญากันว่าจะแต่งงานกัน โดยเป็นการตัดสินใจของพ่อแม่ผู้ใหญ่โดยไม่ได้นึกถึงความสมัครใจของลูกว่าจะรักหรือชอบบุคคลนั้นหรือไม่”
ในสมัยอดีตบางครั้งก่อนที่เด็กจะคลอดออกมา เพื่อให้ความสัมพันธ์ของสองตระกูลเกิดความแน่นแฟ้นกันยิ่งขึ้น พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็จะทำการตัดสินใจเอาไว้อยู่ก่อนแล้วว่าจะให้ลูกของตนหมั้นและแต่งงานกัน ในกรณีนี้ถ้าเพื่อน ๆ เคยดูละครย้อนยุค ก็จะเห็นจากที่พวกตระกูลซามูไรมักจะชอบให้ลูกหรือบุตรหลานของตนทำการแต่งงานกับตระกูลที่มีฐานะเป็นซามูไรเหมือนกันเพื่อให้อิทธิพลของตระกูลตนแข็งแกร่งมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ เป็นการแต่งงานเพื่อหวังตำแหน่งหน้าที่หรือความเจริญก้าวหน้านั่นเอง โดยการแต่งงานเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติในสมัยก่อน และก็ไม่ใช่เฉพาะแค่ตระกูลของเหล่าซามูไรเท่านั้น แต่ทั้งตระกูลพ่อค้าหรือเจ้าของที่ดิน การแต่งงานของลูก ก็จะขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของครอบครัวเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหากมองย้อนอดีตลงไปอีกจะพบว่า หญิงสาวซึ่งยังไม่ได้แต่งงาน แล้วมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนากับผู้ชายจะถูกมองว่า “เป็นผู้หญิงชั้นต่ำ” เพราะตามปกติแล้วหญิงสาวแทบจะไม่มีโอกาสที่จะได้เจอกับผู้ชายมากสักเท่าไร ดังนั้นการที่พ่อแม่เป็นคนตัดสินใจในเรื่องการหาคู่แต่งงานให้จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติในสมัยก่อน ทั้งนี้ คำว่า อีนาซึเกะ “許婚” ก็สามารถเขียนเป็นคันจิว่า “許嫁” ได้ด้วยเช่นกัน
ช่วงเวลาที่ระบบอีนาซึเกะจางหายไป
วัฒนธรรมอีนาซึเกะที่ซึ่งพ่อแม่เป็นคนเลือกคู่หมั้นหรือคู่แต่งงานให้กับลูกของตนนั้นได้เริ่มจางหายไปเมื่อการหมั้นหมายหรือแต่งงานที่มาจากการตกลงกันเองของหนุ่มสาวได้เริ่มเป็นที่นิยมยอมรับกันมากขึ้น ทำให้การบังคับหมั้นหมายหรือแต่งงานคลุมถุงชนนั้นกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญขึ้น ระบบอีนาซึเกะก็จางหายไปจากเบื้องหน้า แต่ทว่าอย่างไรก็ตามระบบการดูตัวกับเพศตรงข้ามและแต่งงานกันที่พ่อแม่เลือกให้ก็ยังคงถือว่ามีหลงเหลืออยู่
ความแตกต่างกับคำว่า คอนยะคุชะ
แม้ในปัจจุบันจะกล่าวได้ว่า อีนาซึเกะ คือสิ่งเดียวกันกับ คอนยะคุชะ คือแปลได้ว่า “คู่หมั้น” เหมือนกันทั้งคู่ แต่ทว่าทั้งสองคำนี้ก็มีความนัยที่แตกต่างกัน นั่นก็คือ คอนยะคุชะ เป็นการหมั้นสัญญากันทางปากเปล่าของคู่รักในขณะที่ อีนาซึเกะเป็นการหมั้นพ่อเเม่หรือทางญาติพี่น้องเป็นคนตัดสินใจให้ โดยไม่ได้สนใจถึงความสมัครใจของคู่รักว่าจะมีต่อกันหรือไม่
ทั้งนี้คู่หมั้นแบบคอนยะคุชะ ถือเป็นคำที่มีความหมายคลุมเครือ โดยเมื่อคู่รักสัญญากันว่าจะแต่งงานกันก็จะถือว่าเป็นคู่หมั้นกันแล้ว อีกทั้งตอนที่ทำการหมั้นก็จะไม่ได้ดำเนินการทำพิธีอะไรเป็นพิเศษ เมื่อขอและอีกฝ่ายตอบรับคำขอ ก็ถือว่าการหมั้นเสร็จสมบูรณ์ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการที่จะถอนหมั้นทีหลังก็อาจเจอปัญหาการเรียกร้องให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ แต่ถ้ามองจากมุมมองของบุคคลที่สามแล้ว หากไม่พบว่ามีการให้สิ่งของต่อกัน เช่น แหวนหมั้น สินสอด การดำเนินการจองสถานที่จัดงานแต่งงาน การจัดเตรียมเรือนหอ การไปทักทายหรือแนะนำตัวกับญาติของทั้งสองฝ่าย เป็นต้น ก็จะไม่สามารถยืนยันพิสูจน์ได้ว่ามีการหมั้นเกิดขึ้น
สุดท้ายนี้ทุกคนมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ ถ้าบุคคลที่เราจะต้องแต่งงานด้วยถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเกิดมาบนโลกใบนี้? หลายคนก็คงรู้สึกว่าโชคดีที่ไม่ได้เกิดในยุคสมัยที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรด้วยตนเองจริงไหมคะ การเราสามารถเลือกแต่งงานกับบุคคลที่เรารักได้ดังเช่นปัจจุบันนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นหรือความสัมพันธ์นั้นไม่เปนดังหวัง เราก็ต้องยืดอกยอมรับในความผิดพลาดด้วยนะคะ เพราะคนที่เลือกและตัดสินใจเช่นนั้นก็คือตัวเราเองนั่นเอง
สรุปเนื้อหาจาก : kotobanogimon.life
เรียบเรียงโดย : XROSSX