ปลาอังโค (あんこう) หรือ ปลาแองเกลอร์ เป็นปลาหน้าตาประหลาด ลำตัวแบน หัวโต มีฟันแหลมคม อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ถ้าเห็นแล้วอาจคิดว่าไม่น่าเอามาทำอะไรทานได้ แต่เจ้าปลาอังโคถือเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศของสุดยอดอาหารช่วงฤดูหนาวในจังหวัดอิบารากิเลย เพราะ “หม้อไฟปลาอังโค (Anko-Nabe, あんこう鍋)” จัดเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนยืนหนึ่งของอาหารประจำจังหวัดอิบารากิในช่วงฤดูหนาว ถึงขั้นมีคำกล่าวสำหรับของดีญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวที่ว่า “ทิศตะวันออกต้องปลาอังโค ทิศตะวันตกต้องปลาปักเป้า”
หน้าตาของหม้อไฟปลาอังโคอาจจะดูเหมือนเมนูหม้อไฟทั่วไป แต่ใครจะรู้ว่าอาหารจานเด็ดเมนูนี้มีประโยชน์หลายอย่าง สาว ๆ ญี่ปุ่นยังชอบทานกันมาก เพราะปลาอังโคเป็นปลาที่มีรสชาติบางเบาไม่หนักท้อง มีไขมันและแคลอรี่ต่ำ แถมยังอุดมไปด้วยคอลลาเจน
บทความนี้เราจะมาพูดถึง 7 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่าง ๆ ของหม้อไฟปลาอังโค ไปจังหวัดอิบารากิช่วงฤดูหนาวอย่าลืมไปชิมเมนูนี้กันล่ะ ไม่อย่างนั้นจะเหมือนมาไม่ถึงอิบารากินะ
1. “หม้อไฟปลาอังโค” คืออะไร?
หม้อไฟปลาอังโค หรือ อังโคนาเบะ เป็นจานอาหารที่ใช้ปลาอังโค (หรือปลาแองเกลอร์) เป็นวัตถุดิบหลัก โดยจะใช้ส่วนประกอบ 7 อย่างของปลาอังโค ผัก และซุปวาริชิตะ ใส่รวมกันลงในหม้อไฟ ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงเพียง 2 อย่างคือมิโสะและซีอิ๊ว หม้อไฟปลาอังโคจึงมีรสชาติอ่อนไม่จัดจ้าน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสูตรของคนทำแต่ละคนด้วย หม้อไฟปลาอังโคในแต่ละร้านอาหารจึงอาจมีรสชาติที่แตกต่างกัน
สำหรับคนที่ไม่เคยลองเมนูนี้มาก่อน ลองทานเป็นเมนูหม้อไฟปลาอังโคแบบธรรมดาไปก่อนได้ หรือถ้าอยากลองแบบที่มีรสชาติเข้มข้นกว่าหม้อไฟปลาอังโคปกติ ให้ลองทานเป็น “ซุปโดบุจิรุ (どぶ汁)” ดู จะเป็นซุปที่เคี่ยวกับตับปลาอังโคที่ละลายในนั้น ให้รสชาติเข้มข้นไปอีกแบบ
2. “ซุปโดบุจิรุ” อีกหนึ่งรสชาติสุดเข้มข้น
ว่ากันว่าซุปโดบุจิรุมีที่มาจากชาวประมงบนเรือที่ต้องใช้น้ำอย่างประหยัดในการปรุงอาหาร ใช้วัตถุดิบเพียงปลาอังโคสับ ปรุงด้วยน้ำจากผักที่ใส่ลงไป เพิ่มเติมรสชาติด้วยตับและมิโสะเท่านั้น ได้ออกมาเป็นซุปรสชาติกลมกล่อม แต่คนที่ไม่เคยทานมาก่อนอาจจะไม่คุ้นกับกลิ่นและรสชาติที่เข้มข้น
3. “ส่วนประกอบทั้ง 7 ของปลาอังโค” มีอะไรบ้าง
ส่วนประกอบของปลาอังโคที่นำมาปรุงอาหารจะเรียกว่า “ส่วนประกอบทั้ง 7” ได้แก่ เนื้อปลา ตับ รังไข่ เหงือก ครีบ กระเพาะ และหนัง ซึ่งให้รสชาติและรสสัมผัสที่ต่างกันไปในแต่ละส่วน ทุกส่วนของปลาอังโคสามารถรับประทานได้ เรียกว่าเขี่ยก้างทิ้งไปแค่อย่างเดียวก็พอ
4. การ “แล่ปลาอังโค” ที่ไม่เหมือนใคร!
この投稿をInstagramで見る
ปลาอังโคส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ทำอาหารมีน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัมขึ้นไป แถมยังมีผิวลื่น หั่นบนเขียงได้ยาก เวลาจะนำปลาอังโคมาทำอาหารจึงต้องใช้วิธีนำปลาไปเกี่ยวบนตะขอขนาดใหญ่ตรงบริเวณปาก เลาะเหงือกและครีบปลาออก กรีดรอบปาก ลอกหนังปลาออก หลังจากนั้นจึงนำอวัยวะภายในตัวปลาออกและแล่เนื้อออกไป การแล่ปลาอังโคจึงจัดเป็นประเพณีฤดูหนาวอีกอย่างหนึ่งของจังหวัดอิบารากิด้วยเช่นกัน
5. รู้ไหมว่าปลาอังโค “ดีต่อสุขภาพและความงาม”
ถึงหน้าตาปลาอังโคอาจจะดูประหลาดไปสักหน่อย แต่จัดว่าเป็นปลาที่มีรสชาติดี เบาสบายไม่หนักท้อง แถมยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ตับปลาอังโคยังมีวิตามิน A และวิตามิน B2 ที่ช่วยป้องกันโรคผิวหนัง โรคหวัด โรคโลหิตจาง และโรคความดันโลหิตสูง เรียกได้ว่าประโยชน์เพียบ นอกจากหม้อไฟปลาอังโคจะเป็นมื้อที่ช่วยให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวแล้ว ยังดีต่อสุขภาพและผิวพรรณอีกด้วย
6. เรื่องน่ารู้ของปลาอังโค
ปลาอังโคเป็นปลาทะเลน้ำลึกชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ตามก้นทะเล ว่ายน้ำค่อนข้างช้า เวลาว่ายน้ำจะยืดอวัยวะที่ยาวคล้ายงวงช้างออกมาจากทางหัว ปลาตัวไหนที่ว่ายเข้าใกล้ปลาอังโคก็จะถูกปลาอังโคกลืนเข้าไปทั้งหมด ที่บริเวณหลังปากของปลาอังโคมีส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายฟัน แต่ไม่ใช่ฟัน เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นใบมีดหมุนเพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อที่เข้าไปในปากหลบหนีได้
ปลาอังโคที่นำมาทำอาหารจะเป็นปลาอังโคตัวเมียเท่านั้น เพราะขนาดตัวจะค่อนข้างใหญ่กว่าปลาอังโคตัวผู้
7. เมนูเด็ดจากปลาอังโค ไม่ได้มีดีแค่หม้อไฟ!
ฤดูของปลาอังโคคือฤดูหนาว ช่วงที่ปลาอังโคจะมีรสชาติดีที่สุดจะอยู่ในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ตับปลาอังโคจะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ
เมนูอาหารที่ขึ้นชื่อของปลาอังโคได้แก่ “หม้อไฟปลาอังโค” และ “ตับปลาอังโคราดซอสพอนสึ” นอกจากนี้ ยังมีเมนูอาหารฝรั่งเศสที่นำปลาอังโคไปเป็นวัตถุดิบอีกด้วย
ปลาอังโคหาทานได้ที่ไหนบ้าง ?
ใครอยากลองชิมเมนูหม้อไฟปลาอังโครสเด็ด สามารถหาทานกันได้ที่จังหวัดอิบารากิ โดยเฉพาะใน 5 แห่งนี้ ได้แก่ คิตะอิบารากิ, ฮิตาจิ, ฮิตาจินากะ, โออาราอิ และ มิโตะ แต่บางร้านอาจต้องจองล่วงหน้า หรือไม่สามารถเสิร์ฟเมนูหม้อไฟปลาอังโคในปริมาณที่ทานคนเดียวได้ (เพราะทางร้านเสิร์ฟในปริมาณที่ทาน 2 คน) หรือมีในกรณีอื่นๆ อีก เช่น เสิร์ฟเฉพาะลูกค้าของทางที่พักเท่านั้น, มีช่วงเวลาจำกัดในการเสิร์ฟเมนูหม้อไฟปลาอังโค ก่อนไปก็อย่าลืมเช็กกับทางร้านด้วยนะคะ
ในบทความนี้จะขอแนะนำ 3 ร้านสำหรับคนที่ไปอิบารากิแล้วอยากลองทานเมนูนี้พอดี
1. ร้าน Sansui หม้อไฟปลาอังโครสชาติต้นตำรับ
Sansui (元祖あんこう鍋 山翠)
ที่อยู่ | 2 Chome-2-40 Izumicho, Mito, Ibaraki 310-0026 |
เวลาทำการ | 11.00 – 15.00 (สั่งอาหารได้ถึง 14.00) และ 17.00 – 21.30 (สั่งอาหารได้ถึง 20.30) *หยุดวันอังคาร |
ราคาเมนูหม้อไฟปลาอังโคโดยประมาณ | 4,100 เยน ถ้าแบบฟลูคอร์สจะประมาณ 7,700 เยน (สำหรับทาน 2 คน) |
เว็บไซต์ | sansui-mito.com |
การเดินทาง | นั่งรถไฟ JR Joban Line (JR常磐線) ลงสถานี Mito Station (水戸駅) > ขึ้นรถบัส Ibaraki Kotsu Bus (茨城交通バス) ประมาณ 7 นาที > ลงป้าย Izumicho Itchome (泉町1丁目) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 1 นาที |
2. ร้าน Marumitsu Ryokan
Marumitsu Ryokan (あんこうの宿 まるみつ旅館)
ที่อยู่ | 235 Hirakatacho, Kitaibaraki, Ibaraki 319-1701 |
เวลาทำการ | *ต้องจองเท่านั้นถึงจะมาทานได้ |
ราคาเมนูหม้อไฟปลาอังโคโดยประมาณ | 3,300 เยน (สำหรับทาน 2 คน) |
เว็บไซต์ | marumitsu-net.com |
การเดินทาง | นั่งรถไฟ JR Joban Line (JR常磐線) ลงสถานี Otsuko Station (大津港駅) นั่งรถแท็กซี่ต่ออีกประมาณ 5 นาที |
3. ร้าน Gochisou Aoyagi
Gochisou Aoyagi (ご馳走 青柳)
ที่อยู่ | 3-22 Tokodai, Oarai, Higashiibaraki District, Ibaraki 311-1303 |
เวลาทำการ | 11.30 – 14.00 และ 17.30 เป็นต้นไป (สั่งอาหารได้ถึง 21.00) *หยุดวันอังคาร |
ราคาเมนูหม้อไฟปลาอังโคโดยประมาณ | 5940 เยน (สำหรับทาน 2 คน) |
เว็บไซต์ | marumitsu-net.com |
การเดินทาง | นั่งรถไฟ JR Oarai-Kashima Line (JR大洗鹿島線) ลงสถานี Oarai Station (大洗駅) > ขึ้นรถบัส Ibaraki Kotsu Bus (茨城交通バス) ประมาณ 20 นาที > ลงป้าย Meijikinenkan (明治記念館) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที |
การได้ทานหม้อไฟร้อน ๆ ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นเจี๊ยบจนไม่อยากออกไปไหนนอกจากซุกตัวในผ้าห่มอุ่น ๆ ถือว่าเป็นอะไรที่ฟินมาก ใครไปเที่ยวจังหวัดอิบารากิแล้วอยากหาอะไรทานให้อุ่นท้องก็อย่าพลาดเมนูนี้นะคะ
สรุปเนื้อหาจาก ibarakiguide