เวลาที่ไปชอปปิงตามร้านค้าที่ญี่ปุ่น มักจะมีผ้าม่านสไตล์ญี่ปุ่นแขวนอยู่หน้าร้าน เรียกว่า โนเรน (のれん) เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์เฉพาะของญี่ปุ่นที่มีมานานตั้งแต่สมัยอดีต แต่ทุกคนทราบไหมคะว่ากว่าจะมาเป็นโนเรนที่แขวนอย่างสวยงามตามร้านค้าในปัจจุบัน เจ้าสิ่งนี้มีพัฒนาการมาอย่างไรบ้าง? เราจะมาอธิบายที่มาของผ้าม่านโนเรนในญี่ปุ่น รวมถึงความยาวและสีสันที่สามารถจำแนกประเภทของร้านค้าได้!
โนเรนคืออะไร ?
โนเรน (のれん) คือม่านที่ทำจากผ้า มีจุดประสงค์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น กันแดด กันลม บังสายตาผู้คน รวมถึงใช้เป็นฉากกั้นในห้องแต่งตัวบนเวที ห้องอาบน้ำสาธารณะ และออนเซน ในอดีตโนเรนตามบ้านเรือนจะเป็นผ้าสีเรียบ ๆ ไม่มีลวดลายอะไรนัก แต่ปัจจุบันนิยมใช้แขวนที่หน้าร้านค้าเป็นเหมือนป้ายร้านที่บ่งบอกชื่อร้านหรือสินค้าที่จำหน่าย มีสีสันและลวดลายหลากหลายแบบ นอกจากนี้บางครั้งยังสามารถใช้แจ้งเวลาทำการของร้านค้าได้อีกด้วย อย่างเช่นหากมีโนเรนแขวนอยู่แสดงว่าร้านเปิดทำการ แต่หากโนเรนถูกเก็บขึ้นไปหรือกลับด้านแสดงว่าร้านปิดทำการ
ที่มาของโนเรน
โนเรนเขียนเป็นคันจิว่า 暖簾 แต่เดิมอ่านว่า นอนเรน จนเพี้ยนกลายมาเป็นโนเรน ว่ากันว่าถูกนำเข้ามาจากจีนพร้อมกับนิกายเซนซึ่งเป็นช่วงปลายสมัยคามาคุระ คำว่าโนเรนในทางนิกายเซนหมายถึง “ม่านอันอบอุ่น” ในช่วงแรกผู้คนใช้โนเรนเพียงเพื่อการใช้งานอย่างเช่น กันแดด กันลม บังสายตาผู้คน รวมถึงใช้เป็นฉากกั้นในห้อง
โนเรนในสมัยมุโรมาจิ
ในสมัยมุโรมาจิ บ้านพ่อค้าหลายแห่งเริ่มใช้โนเรนในการโฆษณาร้านค้าของตนเอง อย่างเช่นมีตราประจำตระกูลประทับอยู่เพื่อสื่อถึงชื่อร้านและประเภทของธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการใส่ภาพต่าง ๆ ลงไป เช่น สัตว์ พืช เครื่องมือ ดินฟ้าอากาศ ภูมิศาสตร์ และอื่น ๆ เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเนื่องจากในขณะนั้นประชาชนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้หนังสือมากนัก
โนเรนในสมัยเอโดะ
ประมาณปลายสมัยอาซูจิ-โมโมยามะเริ่มมีการเขียนตัวอักษรบนโนเรน และในสมัยเอโดะเมื่อประชาชนทั่วไปเริ่มรู้หนังสือมากขึ้น สามารถอ่านออกเขียนได้ ก็ยิ่งมีการเขียนตัวอักษรบนโนเรนเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกันจนโนเรนเริ่มเป็นเหมือนป้ายร้านที่สามารถบ่งบอกรายละเอียดของร้านค้าได้มากขึ้น ทำให้จากแต่เดิมที่โนเรนถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในทางฟังก์ชันอย่างการบังแดด ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในฐานะเหมือนกับสื่อประชาสัมพันธ์และการโฆษณาของบรรดาร้านค้า ช่วยส่งเสริมการขาย เพิ่มความสวยงาม ดึงดูดสายตาแก่ผู้พบเห็น อีกทั้งสีของโนเรนยังมีความแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจ ดังจะกล่าวในหัวข้อถัด ๆ ไป
โนเรนยิ่งสกปรก ยิ่งกิจการรุ่งเรือง!
ในอดีตมีคำกล่าวกันว่า “โนเรนยิ่งสกปรก ยิ่งกิจการรุ่งเรือง” หากเป็นยุคสมัยใหม่ ร้านยิ่งสกปรกคนคงยิ่งไม่อยากเข้าแน่นอน แต่ย้อนกลับไปในสมัยเอโดะ ผู้คนล้วนชื่นชอบการทานซูชิอย่างมากราวกับเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ด นึกภาพว่าสมัยนั้นยังไม่มีผ้าเปียกบวกกับยังไม่มีจานใส่โชยุ พ่อค้าจะใช้แปรงเล็ก ๆ ทาโชยุลงบนซูชิ เมื่อลูกค้าใช้มือหยิบทานก็อาจจะเลอะมือบ้างเล็กน้อย เมื่อทานเสร็จก็จะเอามือมาเช็ดกับโนเรนที่แขวนอยู่หน้าร้าน จนเกิดเป็นค่านิยมว่ายิ่งโนเรนสกปรกมาก มีคนมาฝากรอยคราบไว้เยอะ จะทำให้ร้านมีชื่อเสียง เป็นที่นิยม กิจการรุ่งเรือง
ความยาวของโนเรน
ขนาดมาตรฐานของโนเรนคือความยาว 113 ซม. ซึ่งเป็นความยาวมาตรฐานสมัยโบราณ แต่โนเรนมีความยาวหลายแบบ แต่ละความยาวก็มีชื่อเรียกและการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้
1. นากะโนเรน (長のれん)
นากะโนเรนมีความยาวประมาณ 150-160 ซม. ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าขนาดมาตรฐาน 1.4 เท่า มีจุดประสงค์การใช้งานดั้งเดิมคือแบ่งพื้นที่ห้อง แต่ก็สามารถใช้บังแดดและบังสายตาผู้คนได้ด้วย นิยมใช้ในพวกร้านลับหรือร้านค้าที่ไม่อยากให้คนภายนอกเห็นด้านใน
2. ฮันโนเรน (半のれん)
ฮันโนเรนมีความยาวประมาณ 56 ซม. ซึ่งสั้นกว่าขนาดมาตรฐานครึ่งหนึ่ง ออกแบบให้สามารถมองเห็นสินค้าและด้านในของร้านจากภายนอกได้ นิยมใช้ในพวกร้านอิซากายะและร้านโซบะ
3. มิซึฮิกิโนเรน (水引のれん)
มิซึฮิกิโนเรนมีความยาวประมาณ 30 – 40 ซม. ซึ่งสั้นกว่าฮันโนเรนไม่มาก มองดูเผิน ๆ จึงดูแทบไม่แตกต่างกัน คำว่ามิซึฮิกิหมายถึงเชือกประดับสไตล์ญี่ปุ่นที่ใช้แต่งบนซองหรือถุงของขวัญ ในอดีตโนเรนประเภทนี้นิยมแขวนไว้ที่ชายคาตลอดวันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ แต่ปัจจุบันนิยมใช้เพื่อการตกแต่ง
4. ฮิโยเกะโนเรน (日除けのれん)
ฮิโยเกะโนเรนเป็นผ้าผืนยาวที่ขึงไว้เหนือชายคาจนถึงพื้น ตามชื่อคือใช้กันแดดรวมถึงสามารถใช้โฆษณาร้านไปด้วยในตัว เนื่องจากในเอโดะมีอาคารบ้านเรือนเรียงรายกันเป็นจำนวนมาก โนเรนประเภทนี้จึงช่วยให้ดูแตกต่างจากร้านค้าอื่น ๆ ได้ ปัจจุบันนิยมใช้ในพวกร้านค้าสไตล์ญี่ปุ่น
5. ทามะโนเรน (玉のれん)
โนเรนที่ทำจากลูกปัดไม้ เจาะรู ร้อยเชือก แล้วเรียงต่อกันหลาย ๆ เส้น มีลูกปัดหลายขนาดทั้งลูกใหญ่ลูกเล็ก โนเรนประเภทนี้มีลักษณะพิเศษตรงที่มักจะเว้นช่วงตรงกลางไว้ให้สั้นเพื่อให้คนเดินผ่านไปมาได้ง่าย
สีของโนเรน
ในอดีตเมื่อเริ่มมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการย้อม โนเรนก็ถูกนำมาย้อมด้วยสีสันที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งแต่ละสีก็สื่อถึงการจำหน่ายสินค้าที่แตกต่างกัน อย่างเช่น
1. สีกรมท่า, สีคราม
ในอดีตโนเรนสีกรมท่า, สีคราม นิยมใช้ในพวกร้านเหล้าสาเก ร้านโซบะ ร้านขายผ้า สีนี้ได้จากต้นครามญี่ปุ่น มีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถไล่แมลงได้จึงใช้แขวนไว้หน้าร้านขายผ้า นอกจากนี้โนเรนสีกรมท่า, สีครามยังให้ภาพลักษณ์ของสีน้ำทะเล ปัจจุบันจึงนิยมใช้ในพวกร้านขายปลาและร้านซูชิ
2. สีแดง
ในอดีตโนเรนสีแดงใช้หมายถึงร้านอาหารราคาไม่แพง สีแดงเป็นสีที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้ในปัจจุบันโนเรนสีแดงก็ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายตามร้านอาหาร แต่บนโนเรนจะไม่ใช้ตัวอักษรสีแดงเพราะจะหมายถึงการขาดทุน
3. สีลูกพลับ
ในอดีตโนเรนสีลูกพลับใช้แขวนเฉพาะบางสถานที่ เช่น ร้านอาหารระดับสูง สถานที่จัดเลี้ยง ซ่องโสเภณี แต่เมื่อวัฒนธรรมเหล่านี้ค่อย ๆ หมดความนิยมลงไปก็ถูกนำมาใช้กับร้านอาหารขนาดใหญ่ด้วย ความจริงแล้วเป็นสีออกน้ำตาลแดงโดยใช้เทคนิคการย้อมที่เรียกว่าคาจินโซเมะ และเรียกว่าสีลูกพลับ ปัจจุบันนิยมใช้ในพวกร้านขนม ร้านชา ร้านขายผ้า
4. สีน้ำตาล
ในอดีตโนเรนสีน้ำตาลนิยมใช้ในพวกร้านยาสูบและร้านชา ยาสูบเริ่มได้รับความนิยมครั้งแรกในสมัยเอโดะโดยในยาสูบจะใส่ใบไม้สับสีน้ำตาลลงไป ร้านยาสูบจึงใช้โนเรนสีน้ำตาล ส่วนร้านชา คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าเป็นชาเขียวหรือมัทฉะ แต่ชาวเอโดะในตอนนั้นนิยมดื่มบันฉะซึ่งเป็นชาสีน้ำตาลกันมากกว่า ร้านชาจึงใช้โนเรนสีน้ำตาลด้วย
5. สีขาว
ในอดีตโนเรนสีขาวนิยมใช้ในพวกร้านขนมและร้านขายยา เนื่องจากว่าขนมมักทำมาจากน้ำตาล และน้ำตาลก็มีสีขาว ร้านขนมจึงใช้โนเรนสีขาว อีกทั้งกล่าวกันว่าร้านขายยาในสมัยเอโดะมักใช้น้ำตาลเป็นยา ร้านขายยาจึงใช้โนเรนสีขาวด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันโนเรนมีดีไซน์ที่หลากหลายมากขึ้นตามกาลเวลา ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะสั่งทำแบบพิเศษด้วยสีสันหรือลวดลายต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับแบรนด์ของร้านโดยแทบไม่ได้จำกัดเรื่องสีตามสินค้าเหมือนในอดีต แต่การยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือนนี่แหละที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ไปญี่ปุ่นคราวหน้าลองสังเกตสีสันและลวดลายบนโนเรนตามร้านค้าต่าง ๆ ก็น่าสนุกดีนะคะ
สรุปเนื้อหาจาก mag.japaaan, i-noren