ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “ม้า” คือสัตว์ที่อยู่เคียงข้างมนุษย์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง แรงงานในการเกษตร หรือพาหนะในสงคราม ในญี่ปุ่นเอง ม้าก็ไม่ได้เป็นแค่สัตว์ทั่วไป แต่คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง เรามาทำความรู้จักเรื่องราวของม้าตั้งแต่กำเนิด จนถึงบทบาทอันยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่นกันค่ะ!
1. กำเนิดของม้าและการแพร่กระจายไปทั่วโลก

ต้นกำเนิดของม้าสามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึง 55 ล้านปีก่อน โดยบรรพบุรุษของมันมีชื่อว่า Hyracotherium หรือ Eohippus สัตว์เล็กขนาดประมาณ 30 ซม. อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ มีนิ้วเท้า 4 นิ้วที่ขาหน้า และ 3 นิ้วที่ขาหลัง พวกมันอาศัยอยู่ในป่าและค่อย ๆ วิวัฒนาการแยกสายพันธุ์ไปสู่ยุโรปและที่อื่น ๆ
ต่อมาเมื่อราว 5 ล้านปีก่อน เกิดสายพันธุ์ “Pliohippus” ที่มีลักษณะคล้ายม้าในปัจจุบัน คือมี “กีบเดียว” และสูงกว่าเดิม จากนั้นอีกประมาณ 1 ล้านปีต่อมา “Equus” ซึ่งเป็นต้นตระกูลของม้า ม้าลาย และลาในยุคปัจจุบันก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ภาพวาดม้าในถ้ำ Lascaux ประเทศฝรั่งเศส แสดงให้เห็นว่าม้าในยุคนั้นเป็นเป้าหมายของการล่าสัตว์ ไม่ใช่พาหนะของมนุษย์ การเลี้ยงม้าเริ่มใน เอเชียกลางประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล เริ่มแรกใช้เพื่ออาหารและลากจูง จนเมื่อมนุษย์ประดิษฐ์สายรัดและล้อได้ ม้าจึงกลายเป็นพาหนะสำหรับเดินทางและทำสงคราม นับเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
2. “ม้าในญี่ปุ่น” การเดินทางข้ามน้ำและบทบาทในยุคโบราณ

แม้ญี่ปุ่นจะเป็นเกาะ แต่ในที่สุดม้าก็เดินทางมาถึง โดยเชื่อกันว่าม้าถูกนำเข้าจากคาบสมุทรเกาหลีในช่วง ยุคโคะฟุน (ศตวรรษที่ 3–7) การขุดพบรูปปั้นม้าดินเหนียว ซากม้า และอุปกรณ์เกี่ยวกับม้าในสุสานทั่วประเทศ ทำให้มั่นใจได้ว่าม้าได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในช่วงเวลานี้
แม้อาจมีม้าพื้นเมืองในญี่ปุ่นมาก่อน แต่ก็มีจำนวนน้อยและแทบไม่มีหลักฐานชัดเจน การนำเข้าม้าในยุคโคะฟุนทำให้จำนวนม้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของชาวญี่ปุ่นในด้านต่าง ๆ
ต่อมา ม้าได้กลายเป็นส่วนสำคัญใน ระบบการขนส่งของรัฐ โดยเฉพาะหลัง การปฏิรูปไทกะในปีค.ศ. 645 จักรพรรดิเท็นจิทรงประกาศใช้ระบบ “เอกิเด็น” (ม้าไปรษณีย์) เพื่อส่งข่าวและเดินทางระหว่างเมืองหลวงกับภูมิภาค ม้าถูกเลี้ยงไว้ที่สถานีเปลี่ยนม้า (เอคิอุมะ) อย่างเป็นระบบ
ต่อมาใน ยุคกฎหมายไทโฮ (ปีค.ศ. 701) รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดตั้ง “กรมทหารม้า” ภายใต้กระทรวงกิจการทหาร ซึ่งรับผิดชอบการเลี้ยงม้าและฝึกทหารม้า ซามูไรจำนวนมากใฝ่ฝันที่จะทำงานในกรมนี้ เพราะถือว่าเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติและมีโอกาสก้าวหน้า แม้แต่ซามูไรชั้นล่างก็สามารถสมัครได้หากมีความสามารถหรือจ่ายค่าธรรมเนียม
3. “ม้ากับการสงคราม” การเปลี่ยนแปลงของอาวุธ และตำนานนักรบ

เมื่อม้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของสนามรบ เครื่องแต่งกายและอาวุธก็ต้องปรับตามไปด้วย
ดาบตรงแบบดั้งเดิม “โชกุโตะ” ถูกแทนที่ด้วย “ทาจิ” ซึ่งมีลักษณะโค้ง เหมาะสำหรับฟันศัตรูจากหลังม้า ขณะเดียวกันชุดเกราะ “โอโยโรอิ” ก็ถูกพัฒนาขึ้นให้เหมาะกับการขี่ม้า โดยมีส่วนปกป้องไหล่ หน้าอก และส่วนล่างอย่างครบถ้วน
ทักษะการขี่ม้ากลายเป็นทักษะพื้นฐานของซามูไร และการสู้รบมักเป็น “การดวลแบบตัวต่อตัว” โดยนักรบจะประกาศชื่อก่อนเข้าต่อสู้ นี่คือภาพของนักรบบนหลังม้าที่เราคุ้นตาในหนังหรืออนิเมะญี่ปุ่นหลายเรื่อง
หนึ่งในเรื่องเล่าที่โด่งดังที่สุดคือ ยุทธการอิจิโนะทานิ (ค.ศ. 1184) “มินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ” แม่ทัพอัจฉริยะ ใช้ทหารม้าเพียง 70 นายบุกโจมตีค่ายศัตรูจากทางหน้าผาสูงชัน ด้วยความเชื่อว่า “ถ้ากวางข้ามได้ ม้าก็ข้ามได้” ผลคือศัตรูแตกพ่ายเพราะไม่ทันตั้งตัว—เป็นยุทธวิธีที่เปลี่ยนแนวคิดการรบแบบดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
ม้ายังเป็นเครื่องแสดงสถานะของซามูไร เช่นเดียวกับดาบหรือชุดเกราะ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ “โอดะ โนบุนางะ” ขุนศึกผู้รวมประเทศ เขารักม้าอย่างมาก และใช้ม้าเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ การจัดขบวนพาเหรด “ม้าจักรพรรดิเกียวโต” ในปีค.ศ. 1581 ก็เป็นการแสดงแสนยานุภาพผ่านม้า ซึ่งสร้างความประทับใจและความเกรงขามทั่วทั้งญี่ปุ่น
4. ม้าในพิธีกรรมชินโตและวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิม

ม้าไม่ได้มีความสำคัญแค่ในสนามรบ แต่ยังเกี่ยวพันกับพิธีกรรมทางศาสนาในญี่ปุ่นมาช้านาน หลายศาลเจ้าที่สำคัญ เช่นศาลเจ้า Ise Jingu และศาลเจ้า Kanda Myojin มีคอกม้าเพื่อใช้เลี้ยง “ชินเมะ” (ม้าศักดิ์สิทธิ์) ซึ่งเป็นม้าของเทพเจ้า หรือใช้ในการประกอบพิธีกรรม พิธีถวายม้าให้เทพเจ้ามีมาตั้งแต่ยุคนารา และยังคงสืบสานจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในพิธีกรรมสำคัญคือ “ยาบุซาเมะ” ศิลปะยิงธนูจากหลังม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว นักรบจะยิงธนูใส่เป้าหมายในขณะขี่ม้า ถือเป็นพิธีกรรมชินโตที่ผสมผสานศิลปะการต่อสู้ ยาบุซาเมะมีบันทึกครั้งแรกในสมัยจักรพรรดิเท็นมุ (ปี 680) และได้รับความนิยมโดยเฉพาะในยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185 – 1333) โดยโชกุนโยริโตโมะให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
ปัจจุบัน ยาบุซาเมะยังคงจัดในเทศกาลต่างๆ ทั้งแบบพิธีและแบบกีฬาทั่วประเทศญี่ปุ่น
อีกพิธีกรรมที่น่าสนใจคือ “พิธีอะเกอุมะ” ในเทศกาลศาลเจ้าทาโดะ จังหวัดมิเอะ ผู้ร่วมพิธีจะขี่ม้าขึ้นเนินชันสูง 2 เมตร โดยใช้จำนวนม้าที่สามารถปีนขึ้นได้สำเร็จเป็นเครื่องทำนายโชคชะตา ผลผลิตทางเกษตร และเศรษฐกิจในปีนั้นๆ ซึ่งสะท้อนว่า ม้ายังคงมีบทบาทสำคัญในจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน
ม้าไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง แต่คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่ม้ากลายเป็นทั้งพาหนะ เครื่องมือสงคราม ตัวแทนแห่งสถานะ และแม้แต่สื่อกลางของศรัทธาทางศาสนา จากถ้ำโบราณในยุโรป สู่หน้าผาสูงชันของอิจิโนะทานิ จากสนามรบสมัยโบราณ สู่พิธีกรรมชินโตในยุคปัจจุบัน เรื่องราวของม้าคือบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ยังคงมีชีวิต และบอกเล่าความผูกพันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้งไม่เสื่อมคลาย
สรุปเนื้อหาจาก : touken-world.jp