ทุกคนคงรู้จักไอศกรีมยี่ห้อ ฮาเก้นดาส (Haagen-Dazs) กันดีอยู่แล้วใช่ไหมคะ สำหรับคนญี่ปุ่นเองก็เช่นกันค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นไอศกรีมที่มักปรากฏให้เห็นผ่านตากันในละครหรือภาพยนตร์ญี่ปุ่นอยู่หลายเรื่องแล้ว ใครที่เคยไปเดินหาซื้อไอศกรีมในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ญี่ปุ่น ก็คงจะเห็นไอศกรีมยี่ห้อฮาเก้นดาสขายอยู่เต็มไปหมดแน่ ซึ่งในปัจจุบันนอกเหนือไปจากรสชาติยอดนิยมที่รู้จักกันดีอย่างรสวานิลล่า หรือรสสตรอเบอร์รี แล้ว “ชาเขียว” ก็ถือเป็นรสชาติที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่แพ้กัน แต่แม้ว่าจะได้รับความนิยมและหาซื้อง่ายในปัจจุบัน แต่รู้กันไหมคะว่ากว่าจะได้มาเป็นไอศกรีมฮาเก้นดาสรสชาเขียว ต้องใช้เวลาในการคิดค้นถึง 7 ปีกันเลยทีเดียว!
การเข้ามาของไอศกรีมฮาเก้นดาส
ฮาเก้นดาสซึ่งเป็นไอศกรีมสัญชาติอเมริกาเข้ามาเปิดกิจการร้านขายไอศกรีมในญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1984 โดยร้านสาขาแรกอยู่ที่ย่านอาโอยาม่า กรุงโตเกียว ตอนแรกเน้นการขายด้วยการให้นั่งรับประทานที่ร้าน ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ มากมาย ขนาดมีลูกค้าต่อคิวหลายชั่วโมงเพื่อที่จะได้ชิมไอศกรีม ทำให้มีการขยายสาขาเพิ่มมากถึง 95 สาขาทั่วประเทศ แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นได้ทำการประกาศยกเลิกการจำกัดการนำเข้าไอศกรีมจากต่างประเทศ ทางบริษัทฮาเก้นดาสญี่ปุ่นจึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขาย เพื่อที่จะทำให้กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงและซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น และเกิดเป็น “ไอศกรีมฮาเก้นดาสรูปแบบถ้วย” ขึ้นมาค่ะ
ฮาเก้นดาสแบบถ้วย ได้วางจำหน่ายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านสะดวกซื้อ โดยมีการเปลี่ยนจากไอศกรีมถ้วยไซส์ใหญ่หรือถังใหญ่ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ มาเป็นไอศกรีมถ้วยเล็กแทน เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าคนญี่ปุ่นซึ่งไม่คุ้นชินกับการกินไอศกรีมในปริมาณที่มาก และต่อมาเมื่อบริษัทได้เปลี่ยนรูปแบบของผลิตภัณฑ์แล้ว ก็ได้เกิดไอเดียตามมาว่าควรผลิตคิดค้นรสชาติไอศกรีมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของญี่ปุ่น จึงเป็นที่มาของการเกิดไอศกรีมรสชาเขียวค่ะ
กำเนิดฮาเก้นดาสรสชาเขียว
แม้ว่าไอเดียคิดค้นไอศกรีมรสชาเขียวจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1989 แต่กว่าจะออกมาเป็นไอศกรีมรสชาเขียวให้ได้ลิ้มลองกันนั้นก็ปาเข้าไปในปี ค.ศ.1996 หรือเท่ากับว่าใช้เวลานานถึง 7 ปีเลยทีเดียว โดยสาเหตุที่ใช้เวลานานเนื่องจากค่านิยมสมัยนั้นเกี่ยวกับของหวานจากชาเขียวยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเหมือนในทุกวันนี้ อีกทั้งในการผลิตยังต้องไม่ทำให้รสนมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไอศกรีมฮาเก้นดาสหายไป การปรับขนาดหรือปริมาณสัดส่วนวัตถุดิบจึงถือว่าเป็นเรื่องยากมาก ชาเขียวที่จะนำมาใช้ทำมัทฉะเองก็หายากมากเช่นกัน ดังนั้นเพื่อสรรหาชาเขียวที่เหมาะเเก่การนำมาทำเป็นไอศกรีมรสชาเขียว ทางทีมผลิตจึงได้เดินทางออกค้นหาชาเขียวที่จะนำมาใช้จากร้านขายชาเฉพาะทางทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยกล่าวว่ากว่าจะได้มาซึ่งชาเขียวที่เหมาะสม ทางทีมงานต้องทำการผสมชาต้นฤดู (อิจิบันฉะ) และ ชากลางฤดู (นิบันฉะ) เข้าด้วยกันมากกว่า 100 ครั้ง แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือ การได้รับอนุญาตวางจำหน่ายจากทางฮาเก้นดาสสำนักงานใหญ่ที่อเมริกา ซึ่งในช่วงแรกไม่เข้าใจและสงสัยว่ารสชาเขียวจะขายได้หรือ ทางทีมงานจึงต้องเชิญให้ทางเจ้าของเดินทางมาญี่ปุ่นและลองชิมชาเขียวมัทฉะดู ถึงได้ยอมเข้าใจและอนุญาตให้วางจำหน่ายได้ในที่สุด
ต่อมารสชาเขียวก็ได้ถูกวางจำหน่ายยังร้านสาขาแรกที่อาโอยาม่าเมื่อเดือนมิถุนายน 1996 แม้ในตอนแรกจะยังขายร้านเฉพาะฝั่งคันโตเท่านั้น ทว่าต่อมาทางกลุ่มลูกค้าก็ได้ออกมาเรียกร้องให้วางจำหน่ายฝั่งคันไซด้วย ทางบริษัทจึงทำการปรับเปลี่ยนมาจำหน่ายทั่วประเทศแทน อย่างไรก็ตามแม้ว่าไอศกรีมรสชาเขียวของฮาเก้นดาส จะทำมาจากชาเขียวมัทฉะ แต่ทางบริษัทก็ไม่ได้ตั้งหรือใช้ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น เช่น “รสชาเขียวมัทฉะ” แต่ใช้เป็น “รสกรีนทรี” แทน เพื่อให้สอดคล้องกับไอศกรีมฮาเก้นดาสรสชาติอื่นๆ ที่ใช้ชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษ และยังเป็นการคงไว้ซึ่งความเป็น แบรนด์ไอศกรีมสัญชาติอเมริกาค่ะ
ปัจจุบันทางบริษัทฮาเก้นดาสญี่ปุ่นก็ยังคงไม่หยุดความพยายามที่จะคิดค้นไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ให้พวกเราได้กินกัน โดยในทุกๆ 1 เดือนจะมีไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ วางขายเเบบลิมิเต็ด ถ้าใครมีโอกาสได้มาญี่ปุ่น แนะนำให้ลองมองหาไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ของฮาเก้นดาสกันดูนะคะ ถ้าใครได้ลองแล้วมีความคิดเห็นเป็นอย่างไรบ้าง มาเล่าให้ฟังกันด้วยนะคะ
เรียบเรียงโดย XROSSX
ที่มา walkerplus.com
